ศาลาลมริน

ร้อนเอย…ร้อนนัก
หลบพักแดดร้อนก่อนไหม
กลางสวนอักษรา…
ปลูกศาลาใต้ร่มรำไร
มานั่งเล่น ชมนก ชมไม้
ด้วยกัน…

Responses

  1. โอ…ราวกับกำลังนั่งในศาลา
    มองออกไปเห็นม่านหมอก สะพานโค้ง
    แลผิวน้ำที่ใสราวกระจกนั่น!
    ..
    ..
    อา…ได้การ!
    รีบคว้ามีดบิน สลักเชื่อไว้ที่เสาศาลา
    ว่า… ชอลิ้วดิน
    จอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านโอ๊ะโย๊ะโยว
    ได้มายืนฉี่เป็นเครื่องหมายไว้แล้ว
    ..
    ..
    ฮา ฮา ฮา ฮา ฮา

  2. รื้อบลอคจนวุ่นวายไปหมด (เอาอีกแล้ววเรา)

    ขอนั่งพักศาลาลมรินให้หายตาลายหน่อยขอรับ

  3. ท่านดินน่าเกลียดมามาฉี่ตามเสาได้ไง ไปหลังพุ่มไม้นู่น ระวังเถาหมามุ่ยล่ะ อิอิ

    คุณอัมโปะรื้อบล็อกอีกแล้วหรือ อย่ารื้อจนกู่ไม่กลับเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ ไม่รู้วันนี้จะเข้า blogspot ได้หรือเปล่า ถ้าเข้าได้จะแวะไปแอบดู

  4. อะ
    เข้ามาพร้อมกัน
    สบายดีนะขอรับ

    กะจะทำบล็อกให้ง่ายๆ
    ทำทีไรวุ่นวายทุกที

  5. ยังอยู่หรือเปล่านี่คุณอัมโปะ

    ถ้ายังอยู่ส่งสัญญาณมีชีวิตมาหน่อย

  6. โอว…ท่านอัมรื้อบล็อก!!
    อย่าเผลอรื้อจนลืมให้อาหารปลานะขอรับ พลีสสสส
    ..
    ..
    นำชาร้อน ๆ มาคารวะ(อีกแย้ววว)ขะรับ

    เอ่…รู้สึกว่าเจ้าชอลิ้วดินมันจะทะเล้นไปสักหน่อยเสียแล้ว
    เล่นไม่สุภาพ! จะเป็นการรบกวนเกินไปไหมหากจะรบกวนช่วยลบให้ทีเถิดขะรับ

    หมู่นี้ข้าพเจ้าเข้าเน็ตแล้วตะลีตะลานรีบเผ่นเข้าเผ่นออก ด้วยความที่เสียดายค่าใช้จ่าย
    จึ่งออกอาการหลง ๆ เลย ๆ อย่างที่ท่านย่าเห็นล่ะขอรับ

    นี่ก็ตัดเวลาเน็ตลงไปมากหลายแล้ว เมื่อก่อนอัพเสร็จยังมีนั่งชื่นชมนะท่าน
    ทวนอีกสักรอบแก้นั่นนิดนี่หน่อย เหมือนตอนนั่งเขียนรูปเลยขอรับ เขียนเสร็จนั่งดู ดูแต่ง ๆ เติม ๆ ไปเรื่อย (สุดท้ายเละ อิ อิ )

    -ทำทีละวัน- อันท่านย่าทิ้งข้อกังขาไว้ที่บ้านหนอนนั้นขออย่าได้สงกาเลยขะรับ
    เป็นเพียงชื่อตอน ที่ข้าพเจ้าสุ่มหยิบเหมือนออกรางวัลเลขท้ายสองตัวประจำงวด แบบว่ามีชื่อบท แล้วหาไม่ชื่อตอนก็จะกระไรอยู่ ตอนต่อไปได้กระทำการเลือกหยิบขึ้นมาแล้ว เป็นชื่อตอนว่า ต้นหญ้าในร่องซิเมนต์ อะไรประมาณนี้(ความจำไม่ดีอาจมีคลาดเคลื่อนนิดหน่อย) กะว่าจะโพสท์ตอนเช้าพร้อมกับโพสท์บล็อกขอรับ
    หากทั้งหมดใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง เป็นอัน ข้าพจ้าจะใช้เวลายามเช้าสักหนึ่งชั่วโมง ทั้งโพสท์บล็อกทั้งแวะดูข่าวคราวบ้านเมือง

    ขอท่านย่าอย่าได้วิตกกังวลเกี่ยวกับย่า-หลานบานตะไท
    เพียงคุยกันไป-มาตามประสา

    ว่างก็เขียน
    ไม่ว่างก็ไม่เขียน
    มีอารมณ์ก็เขียน
    ไม่มีอารมณ์ก็ไม่เขียน

    ข้าพเจ้าเองหาได้คาดหวังอันใดเกินไปกว่า ได้มานั่งทอดตัวอักษร ฝึกฝนปลายนิ้วให้คุ้นอยู่กับพยัญชนะ จนกว่าจะไหลลื่นออกมาโดยที่บล็อกแรกก็ใช่เลย ไม่ใช่สะดุดห้วงคิด สะกิดห้วงคำนึงอยู่เช่นนี้ สูญเสียทั้งเวลาทั้งพลังงานขะรับ

    คิดว่าเมื่อคล่องมือก็คงเร็วขึ้นตาม่ลำดับ
    แลครั้นเสร็จร่างแรกก็ใช่เลย! หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

    การฝึกฝนเสร็จสิ้นเสียตั้งแต่ตัวอักษรสุดท้ายของการทวนแล้วขอรับ
    ข้าพเจ้าเป็นอันพกพาความพอใจสุขใจร้อยติดปลายนิ้วกลับไปยังกระท่อมซอมซ่อ
    จึ่งขอท่านย่าอย่าได้กังวล ว่าข้าพเจ้าจะจิตใจจดจ่อเฝ้ารอคอยคำตอบเหมือนดังจิ้งหรีดน้อยรอคอยหยาดน้ำค้าง ฤาปลาย่างรอคอยแมว เอ่อเกี่ยวกันไหม?

    หวังว่าท่านจะผ่อนคลายสบายใจ ไม่เก็บมาเป็นกิจภาระอันใดนะขอรับ
    ถือเสียว่า หลานศิษย์ยกชามาคารวะตามประสา

    ส่วนที่นำไปโพสท์บอร์ดหนอนนั่น ด้วยคิดเห็นว่าอาจจะเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ช่วยเพิ่มลงในภาชนะให้บอร์ดหนอนคึกคักขึ้นบ้าง พักหลังผ่านไปมาเห็นเงียบเหงาพิกล ทั้งจำนวนโพสท์จำนวนคอหอลดลงอย่างน่าแปลกใจ

    จึ่งไหน ๆ การเขียนลงกล่องคอหอบล็อก เป็นการฝึกฝนตัวอักษรสาธารณะอยู่แล้ว
    หากจะย้ายไปเติมลงในบอร์ดหนอนคงหาได้แตกต่างอันใด เลยขออนุญาตท่านด้วยประการฉะนี้

    อา…สองทุ่มแล้ว

    ข้าพเจ้าปั่นนิยายต่อล่ะขะรับ
    ตอนนี้มาได้ ๑๗๐ หน้าแล้ว เหลืออีก ๓๐ หน้าก็จะถึงเป้าหมาย
    อยากมีนิยาย ๒๐๐ หน้า ข้าพเจ้าเล่นมุกทั้งขึ้นบรรทัดใหม่ ทั้งเขียนบรรทัดสั้น ๆ
    กะเอาจำนวนหน้าลูกเดียว อิ อิ อิ

    อ้าว…ชาชืดหมดเลย
    รินใหม่
    รินใหม่

    คารวะ
    หลานดิลล์

  7. คุณอัมโปะ

    เน็ตข้าพเจ้าไม่รู้เป็นไร เข้าบล็อกท่านไม่ได้มาสองอาทิตย์แล้ว ยังไงจะอู้งานแวะไปเยี่ยมก็แล้วกันเจ้าค่ะ

    ***

    ก่อนนอนสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    หลังจากร้อนอบอ้าวมาหลายเพลา วันนี้ได้ฤกษ์สายฝนโปรยปรายเสียที

    ได้ยินว่าท่านมิได้นั่งจดจ่อรอคำตอบเหมือนจิ้งหรีดรอน้ำค้างยามรุ่งอรุณข้าพเจ้าค่อยเบาใจ เนื่องจากเกรงว่าจะบางวันสังขารอาจไม่อำนวยให้นั่งตะบันหมากได้นานๆ เหมือนเมื่อก่อน

    การนำสิ่งที่เราพูดคุยกันไปแปะบ้านหนอนนั้น ข้าพเจ้ายกให้เป็นหน้าที่ท่านในการเลือกสรรก็แล้วกัน คิดว่าสิ่งไหนพอเป็นน้ำจิ้มให้บ้านหนอนได้ ก็จงทำเถิด

    ข้าพเจ้าเองตั้งแต่เจอมรสุมทางการงานรุมเร้า ทำให้มีเวลาเข้าบ้านหนอนน้อยลง พอตัดสินใจทำบล็อก เวลายิ่งลดน้อยลงไปอีก ได้แต่ทำตัวเลียนแบบนินจา แวบเข้าแวบออก ใช้วิชาพรางตัว สอดส่ายสายตาตามสุมทุมพุ่มไม้ แอบดูหนอนหน้าใหม่อยู่ห่างๆ

    เมื่อวานอ่านความเห็นที่คุณที่คั่นหนังสือกล่าวไว้เรื่องมิตรภาพที่สัมผัสได้จากย่าหลานบานตะไท ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งพอคุณอัมโปะกล่าวย้ำถึงความประทับใจตอนแรกที่เข้ามาเจอเราสองคนคุยกันในบ้านหนอน ทำให้รู้สึกข้าพเจ้าดีใจว่าสิ่งทีเราคุยกันยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แม้ด้านเนื้อหา สาระ อาจยังไม่ถึงพร้อม แต่คงพอช่วยบรรยากาศบ้านหนอนให้คึกคักขึ้นได้พอควร

    ว่างๆ เรามาจัดคืนสู่เหย้าชาวหนอนๆ กันหน่อยไหมท่าน ประกาศแจ้งข่าวล่วงหน้า นัดวันเวลาให้พร้อม รำลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ร่ำเมรัยกันทางหน้าจออีกสักครั้ง หรือจะอาศัยช่วงเปิดเทอมจัดงานรับน้องหนอนทางหน้าจอสวมรอยไปเลยก็ไม่เลว (ข้าพเจ้าหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว)

    ไปดีกว่าเจ้าค่ะ ยิ่งเขียน เดี๋ยวไอเดียยิ่งบรรเจิด เดี๋ยวได้รับมอบหมายให้เป็นแม่งานจะยุ่ง

    ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    ป.ล. เรื่องฉี่รดเสา ข้าพเจ้าไม่ลบทิ้งหรอก เก็บไว้ประจาน ฮ่า ฮ่า ทีหลังจะเขียนอะไรจะได้คิดเสียก่อน อยากดัดนิสัยคนแก่ แต่ไม่รู้จะดัดไหวหรือเปล่า ไม้แก่เขาว่าดัดยาก เอิ๊กๆๆๆ

  8. เสียงพระทำวัตรเย็นสวัสดิ์ขอรับท่านย่า (อย่าเพ่องงขอรับ จิ้มไว้แต่หกโมงมาซับมิทเอาสี่ทุ่ม)

    ลองเข้าบ้านโรเจอร์ดูใหม่หรือยังขอรับ?
    ข้าพเจ้ารอบเช้าเข้าไม่ได้ ลองรอบค่ำดูอีกทีเข้าได้ปกติแล้ว
    ลองดูขอรับ…ลองดู…

    แหม่ข้าพเจ้าคันปากคะเยออยากคุยเรื่องที่หอบมาเสียเต็มประดา แต่ต้องอดใจไว้ก่อน กลับขึ้นไปทวนอักษรท่านก่อน โผล่มาเอาแต่โม้เรื่องของตัวดูจะกระไรอยู่

    ขอตัวแป๊บ…กลับไปอ่านอีกที
    ..
    ..
    อ่า…แปะบ้านหนอน!

    มิได้ขอรับ หาได้มีการเลือกสรรคัดสรรเลยขอรับ ข้าพเจ้าคว้าไปแปะไล่เรียงก่อนหลังตามก้นกันไป บทสนทนาใดดูดีสักหน่อยหากมีสหายชมชอบ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเสียสละรับไว้เอง แต่หากมีบทใดไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางก็ต้องรบกวนท่านย่าออกหน้าที ด้วยบารมีความเก๋าของท่านอาจพอช่วยผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา ผ่อนตีเข่ากลายเป็นจรเข้ฟาดหาง

    อย่างที่เรียนล่ะขะรับ ยามนี้ข้าพเจ้าใช้เน็ตแพง(ฉิบ) จึ่งต้องเผ่นเข้าเผ่นออกลุกลี้ลุกรนพิกล ทั้งเวลาก็รวบรัดให้เร่งจัดการ ข้าพเจ้าคว้าจากสวนอักษรของท่านก็แหมะลงบอร์ดทันใด จากนั้นเผ่นเข้าชีวิตประจำวัน

    อ่า..เรื่องความรู้สึกดีใจที่ท่านได้รับข้าพเจ้าพลอยดีใจไปด้วย ย่าว่าไงหลานว่างั้น! เดินตามหลังย่า หะมาไม่กัด! อิ อิ

    ส่วนเรื่องคืนสู่หย้า นับเป็นอีกไอตะระเดียอันบรรเจิดของท่าน แค่คิดก็ครึ้มอกครึ้มใจอยู่ครามครัน แต่เรื่องจะใช้โอกาสนี้เมาเข้าสำนักคงหมดสิทธิขะรับ มุกใส่ระหัสของท่านเจ้าสำนักนอกจากดัก spam แล้ว ยังสามารถดักขี้เมาเข้าสำนักได้อย่างฉมังนัก หลายวันก่อนข้าพเจ้าเคยลองแล้ว เมากลับมาด้วยความที่คิดถึงท่านอ้ายฯ อ้าว!!! วันที่มาจิ้มมั่วที่เหลาท่านไง! นั่นล่ะ ข้าพเจ้าไม่รู้จะไปคุยกับท่านอ้ายฯ ที่ไหน กะว่าจะทิ้งสาส์นเสียที่บ้านหนอนเลยล่ะเผื่อท่านอ้ายฯ โยกย้ายส่ายสะโพกผ่านมา ปรากฏว่าจิ้มมั่วยังไม่เท่าไรขอรับ แต่ไอ้ระหัสนั่นน่ะสิ จ้องเท่าไรมันก็ดูไม่เป็นตัวไม่รู้ตัวอะไรต่อตัวอะไร แล้วจะให้จิ้มถูกได้ไง อ่า…แบบว่าถึงรู้ก็จิ้มบนแป้นไม่ตรง ฮา ฮา ฮา เป็นอันหมดสิทธิโพสท์

    นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขี้เมาก็คือ spam ชนิดหนึ่ง! อุ อุ

    เอาล่ะแจงถ้อยท่านครบถ้วนกระบวนความแล้ว โม้เรื่องที่ข้าพเจ้าหอบหิ้วมาล่ะ

    จ๊ะอื๋ยยย!! ท่านย่า
    นี่ดูแขนนี่ก่อน…ขนลุก อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ อุ

    เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคกลัวนักเขียนในดวงใจ เข้าใกล้ไม่ได้มันสั่น น น น
    ท่านลองคิดถึงดารากลัวเข็มฉีดยา กลัวหนอน อะไรประมาณนั้น จะมีอาการคล้ายกันคือออกเว่อร์ เวอร์ (ที่ไม่ใช้ไม้ยมกเพื่อเป็นการเน้น!) ข้าพเจ้าจึงไม่เคยคิดอาจหาญเขียนคุยกับนักเขียนที่ชื่นชอบ อย่างเช่นท่านเจ้าสำนัก ผู้คนเขียนมาคุยจากทั่วฟ้าแดนสยาม ข้าพเจ้ามุดหัวอยู่ใต้ชายคาบ้านหนอนแต่ไม่กล้า ใจนะคิดอยากถามอยากคุย แต่ปลายนิ้วมันสั่นเกร็ง จิ้มไม่ออก! เลยได้แต่อ่านลูกเดียว

    ก็ประพฤติเช่นนี้แหละ

    วันก่อนเรียนท่านไว้ว่าไปโม้ที่บล็อกท่านปราย’ มา
    หลังจากใช้วิชานินจาฮาโตริ นิน นิน แว่บ แว่บ ไม่เคยทิ้งร่องรอย
    จะให้ทิ้งได้ไงล่ะขะรับ มันเกร็ง! กะเดื๊อก อะเอื๊อยย อะยื๋อออ บอกไมถูก! ได้แวะไปอ่านข้าพเจ้าก็พอใจสุขใจมากมายก่ายกองแล้ว เคยคิดเคยฝันที่ไหนกันล่ะ ว่าจู่ ๆ โลกเน็ตจะเปิดโอกาสให้คนเราใกล้กันอย่างนี้ จากเมื่อก่อนข้าพเจ้าต้องรอมติชนสุดฯ แล้วยังต้องไปอีกตั้งหลายโล จนห้องสมุดฯเลิกรับ (แบบว่าอ่านฟรี อิ อิ)

    ข้าพเจ้าทำตัวเป็นลูกค้าขาจรบล็อกท่านปราย’ เรื่อยมา(ยังเคยคว้าเจ้าแฮร์โรว ติดมือไปฝากท่านอัม)

    มาเที่ยวนี้เจอท่านต่อว่าดักคอพวกขาแว่บ
    ข้าพเจ้าโดนเข้าถึงกับจุก!
    หากยังขืนไม่ทิ้งร่องรอย ก็เหมือนทำหน้าหนาโดนด่าไม่รู้สึกตัวนั่นแหละขะรับ

    จึ่งเจ้าเศษดินจำขยับปลายนิ้วอันแข็งเกร็ง ฝากตัวอักษรไว้

    วันนี้สหายพี่สามแจ้งแถลงไขไว้ว่าท่านไปโม้ที่บล็อกท่านปราย’ มา
    ข้าพเจ้าจึ่งรีบแจ้นตามไปดู

    อุเหม่! ท่านย่า

    พี่สามสมเป็นพี่สาม!

    ลีลาเต้นแร็บปลายนิ้วบนคีย์ของท่านเหลือกำลัง
    ยิ่งตอนจบข้าพเจ้าขำก๊าก!

    แต่ที่ทำเอาขนแขนแสตนด์อับ ก็คือ ท่านย่า! ท่านย่า!
    ท่านปราย’ ตอบข้าพเจ้า! (โปรดฟังอีกครั้ง) ท่านปราย’ ตอบข้าพเจ้า!
    ขอท่านอย่าได้ตำหนิไปว่าข้าพเจ้าเวอร์เลยขอรับ เพราะเวอร์ตัวเดียวเห็นทีจะไม่พอเสียแล้ว ต้องขอสักสองสามเวอร์ เออะ เออะ

    นังแจ๋วบ้านคุณนายซ่อนกลิ่นกรี๊ดสลบยามเห็นเพชรา เชาวราชอย่างไร
    ข้าพเจ้าก็อย่างนั้นล่ะท่านย่า

    สหายพี่สามรึก็โปรโมทสุดฤทธิ์ ตอบคำถามเรื่องบล็อกที่เข้าบ่อยไปว่า บล็อกเจ้าธุลีดิน ดีนะที่ไม่ได้ใส่ลิงแบกไม้โท(มุกสหายพี่สามขอรับ) ไว้ด้วย

    ท่านปราย’ ถามไว้ว่าบล็อกข้าพเจ้าไปทางไหน?
    ท่านย่าจ๋า ข้าพเจ้าไม่ตอบหรอก ไม่ใช่หยิ่งยะโสโอหังอันใด
    แต่หากบังเอิญท่านปราย’ แวะกระท่อมซอมซ่อจริง ๆ ล่ะก็!
    ข้าพเจ้าเห็นทีจะต้องเผ่นไปตั้งหลักสักหลายวัน ด้วยความประหม่าไม่รู้จะว่าไงกันเลยแหละท่าน

    เห้อ…

    นักเขียนในดวงใจ

    เอาล่ะ ให้เวลาหมั่นไส้สองนาที โม้จบแล้วข้าพเจ้าจรลีล่ะ
    ..
    ..
    นำชามาคารวะขะรับ

    ปล. เรื่องฉี่รดเสา คิดก่อนคลิกแล้วขะรับ
    แต่ตอนนั้นคิดว่าโอเคนา น่ารักดี
    กลับมาดูอีกที ชักไม่น่ารักแฮะ!

    ความคิดเป็นดังสายน้ำ เรื่อยไหลไปไม่คงที่
    นาทีนี้คิดอย่าง นาทีต่อไปอาจคิดอีกอย่าง
    จึ่งได้มีคนผลิตปุ่ม edit แล delete ไว้

    แต่หากไม่ใช้ก็หาได้เป็นไรไม่ ข้าพเจ้ามีปุ่ม -หน้าทน- อิอิอิ
    ส่วนเรื่องดัดท่าจะไม่ไหว พวกสาวสาวโพซิดอนมักจะบ่นว่าข้าพเจ้าหลังแข็ง ฮา ฮา ฮา ฮา

    -หลานดิลล์-

  9. “Your comment is awaiting moderation.”

    เจี๊ยก!!…อันนี้หมายถึงข้าพเจ้าโดนแจกใบเหลืองความเห็นรึเปล่าขอรับท่านพี่???

    ไปเดินเวียนโน้นวนนี้อยู่หลายรอบ มาฉุกคิด ข้าพเจ้าขอตัดประเด็นเรื่อง”น้องน้ำตาลไหม้”ออกดีกว่าขอรับท่านพี่ ไม่น่าดึงเอาชื่อน้องเขามาเลย -_-”

    เอาเป็นว่าเหลือประเด็นเรื่อง “นักเขียนในดวงใจ”ไว้อย่างเดียวดีกว่าขอรับ

    กลัวว่าจะดุเดือด อากาศยิ่งร้อนๆอยู่

    คารวะลาอีกหนขอรับท่านพี่

  10. ท้องอืดสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    โห…ท่านดิน มาทีเป็นชุด ไม่ค่อยเวอร์เลยนะท่าน ปลากระดี่ได้น้ำยังชิดซ้าย

    พูดถึงเรื่องเจอนักเขียนที่ชื่นชอบแล้วพูดอะไรไม่ออก ข้าพเจ้าก็เป็นเจ้าค่ะ เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนข้าพเจ้ามีโอกาสได้เจอคุณไพวรินทร์ ขาวงาม กว่าจะทำใจกล้า เดินเข้าไปขอลายเซ็นได้ ข้าพเจ้าอายม้วนอยู่สิบตลบ รู้สึกลมหายใจติดๆ ขัดๆ เหมือนออกซิเจนกำลังจะหมดโลก ขากรรไกรเป็นอัมพาตชั่วขณะ พูดไม่ออก บอกไม่ถูกเลยทีเดียว

    พอได้ลายเซ็นข้าพเจ้าก็ยังทำตัวป้วนเปี้ยนเมียงมอง หาจังหวะที่คุณไพวรินทร์อยู่คนเดียวหวังจะขอความรู้ในการเขียนบทกวีเป็นวิทยาทานเสียหน่อย แต่กวีในดวงใจข้าพเจ้ามีแต่คนรุมล้อม หาจังหวะเข้าไปคุยไม่ได้เลย ข้าพเจ้าแทบเอาหัวโหม่งฝากลับบ้านด้วยความเสียดาย

    พูดถึงเรื่องตัวจริงกับงานเขียน ข้าพเจ้าว่าบางทีการไม่ได้เจอนักเขียนตัวเป็นๆ ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูแต่พวกเรากันเองสิ ตอนข้าพเจ้าอ่านงานท่านอ้าย อ่านทีไร ขำกลิ้งเมื่อนั้น ข้าพเจ้าจินตนาการบุคลิกลักษณะของท่านอ้ายไปได้ร้อยแปดพันประการ ครั้นได้เจอตัวจริง…

    โอ้ว! แม่เจ้า ท่านอ้ายขี้อายมากๆ !

    ชอลิ้วเฮียงหนุ่มเพลย์บอยเจ้าสำราญของข้าพเจ้าใช้วิชาตัวเบาพลิ้วกายหายเข้าวังค้างคาว เหลือไว้เพียงหนุ่มหน้ามนนั่งหนีบเหนียมเอาข้าวเหนียวจิ้มส้มตำปูปลาร้าด้วยความเอร็ดอร่อย

    หรือแม้กระทั่งคุณวนิดา(นามปากกา) เอง ตอนพวกเราได้เจอตัวจริงครั้งแรกในงานวันนัดหนอน แทบตกอกตกใจ ด้วยอายุน้อยกว่าที่คิด ยิ่งพอได้มีโอกาสเดินทางไปทริปเมรัยสัญจรด้วยกันแล้ว พวกเราถึงได้ตระหนักว่า ตัวจริงกับงานเขียนเป็นคนละส่วนกัน (ตัวจริงบ้าแกมซ่าสุดๆ พี่ขอเผาหน่อยนะน้องชาย ฮ่า ฮ่า)

    ข้าพเจ้าว่าการได้ใกล้ชิดนักเขียนมากขึ้น บางครั้งก็ทำลายจินตนาการในการอ่านงานของคนๆ นั้นลง
    แทนที่เราจะดำดิ่งไปกับอารมณ์ของเนื้องาน
    กลับมีภาพใบหน้าหรือบุคลิกลักษณะของคนๆ นั้นลอยเด่นขึ้นมาเป็นห้วงๆ

    ท่านลองนึกดูสิว่า ถ้าท่านกำลังอ่านบทกวีแสนหวานชิ้นหนึ่ง แล้วใบหน้ากวีที่ลอยเด่นขึ้นมา ไปคนละทิศละทางกับงาน รสกวีที่ได้ลิ้มจะหวานปะแล่มๆ หรือไม่

    หรือในทางกลับกัน ถ้าเรารู้จักตัวตนของคนๆ นั้นก่อนที่จะมีโอกาสได้อ่านงานของเขา เมื่อได้อ่านงานของคนๆ นั้นแล้ว ผลที่ได้จะเป็นเช่นไร

    ข้าพเจ้าลองยกตัวอย่างในกรณีของข้าพเจ้าให้ฟัง…

    ข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นนักเขียนอยู่คนหนึ่ง เมื่อมีโอกาสอ่านนวนิยายที่เพื่อนคนนี้เขียน แทนที่ข้าพเจ้าจะปล่อยอารมณ์ล่องลอยไปกับเนื้อเรื่องและตัวละคร ข้าพเจ้ากลับนึกไปถึงเพื่อนว่า…

    “อ๋อ…เธอคิดแบบนี้เหรอ จริงๆ แล้วเธอเป็นคนแบบนี้ มองโลกแบบนี้นี่เอง ไม่รู้มาก่อนนะเนี่ย… ”

    ข้าพเจ้าแทบไม่รู้สึกเลยว่านั่นเป็นความคิดของตัวละคร ทำให้อรรถรสในการอ่านเหือดหายไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว (อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเช่นนี้อาจไม่เกิดขึ้น ถ้าเรารู้จักนักเขียนท่านนั้นแต่เพียงผิวเผิน)

    ความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับนักเขียน อาจต้องรักษาระยะห่างเหมือนดวงดาวคนละฝั่งฟ้า จะได้มองเห็นความงามได้ชัดเจนและเต็มตา

    เออนะ… ท่านกำลังดีใจที่ได้พูดคุยกับนักเขียนคนโปรด น้ำกำลังเชี่ยวข้าพเจ้าดันเอาเรือมาขวางเสียนี่

    ตามสบายเลยท่าน แต่อย่าลืม ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง (อดเทศนาไม่ได้ อิอิ)

    ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ
    ป.ล. น้องสามพาท่านดินไปปล่อยแก่มาเหรอ กลับมาระริกระรี้เชียว

  11. สายัณห์สวัสดิ์ขอรับท่านย่า

    “ความสัมพันธ์ระหว่างคนอ่านกับนักเขียน อาจต้องรักษาระยะห่างเหมือนดวงดาวคนละฝั่งฟ้า จะได้มองเห็นความงามได้ชัดเจนและเต็มตา”

    อา…ท่านกล่าวได้สาสมใจนัก!

    การรักษาระยะห่างที่พอดีเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
    ไม่ต่างกับการรู้ใช้พื้นที่จัดวางแลช่องว่างให้เหมาะสม ฤาการจัดคอมโพสสิชั่น (แปลเป็นภาษาสยามว่าอะไรอ่า?)

    ไม่แต่เฉพาะคนอ่านกับนักเขียน
    แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนหากเรารู้รักษาระยะเว้นช่องไฟ ความสัมพันธ์ก็จะคงความสวยงามอย่างยั่งยืน

    แต่นั่นล่ะ!

    อะไรที่เป็นศิลปะกว่าจะเข้าถึงเข้าใจ หรืออยู่มือ ต้องฝึกฝนกันหนักหนาเอาการอยู่
    ผู้คนจึงเบียดช่องไฟเล่นเหยียบตากปลากันให้วายวุ่น จริงไหมท่านย่าที่เคารพ

    วันนี้ข้าพเจ้าเหนื่อยจัง มือไม้อ่อนจิ้มอักษรไม่ออกเลยขะรับ

    เห็นทีต้องรีบยกชาคารวะท่านแล้วขอจรลี

    พรุ่งนี้เป็นวันวิสาขะบูชา ขอให้ท่านย่าเจริญสติภาวนา อุดมด้วยศีลสมาธิแลปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นเทอญ

    คารวะ
    ศิษย์หลาน

  12. วันวิสาข์สวัสดิ์เจ้าค่ะ

    วันนี้เป็นวันหยุดราชการ แต่ข้าพเจ้าไปทำงานเหมือนเช่นเคย ตลอดทั้งวันถนนโล่ง ถ้าสภาพการจราจรในเมืองหลวงเป็นแบบนี้ทุกวันคงจะดี (ผิดศีลข้อสี่ พูดจาเพ้อเจ้ออีกแล้ว ฮ่า ฮ่า)

    เพื่อนที่ทำงานชวนไปเวียนเทียนด้วยกันหลังเลิกงานที่วัดปทุมวนาราม ข้าพเจ้ากล่าวปฎิเสธไปอย่างไม่ลังเลใจ เพราะปีก่อนข้าพเจ้าไปเวียนเทียนที่วัดนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง

    ท่านเอ๋ยยยยยย กว่าจะครบสามรอบทำเอาน้ำหูน้ำตาไหลไม่หยุด ใช่ว่าซาบซึ้งที่เห็นพุทธศาสนิกชนมาเวียนเทียนจนแน่นขนัดเต็มลานวัดหรอกท่าน แต่ควันธูปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันดอก ลอยเข้าตา เข้าจมูก ข้าพเจ้ายิ่งแพ้กลิ่นควันอยู่ด้วย กลับถึงบ้านแสบคอใช่เล่น

    ใจหนึ่งข้าพเจ้าก็อยากปฎิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีไปตักบาตร ทำบุญ เวียนเทียนที่วัดในวันสำคัญทางพุทธศาสนา แต่ใจอีกด้านหนึ่งมันคิดขบถอยู่ร่ำไป คิดแต่เพียงว่าไปวัดวันไหนก็เหมือนกันแหละ ไม่เห็นต้องยึดติดวัน(ปกติข้าพเจ้าไปไหว้พระ และนั่งสมาธิที่วัดอยู่แล้วเมื่อมีโอกาส)

    สมัยยังวัยละอ่อน ข้าพเจ้าเคยนึกว่าตนเองเป็นพวกไม่มีศาสนา จะยกมือไหว้พระพุทธรูปแต่ละครั้งก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ด้วยไม่เข้าใจว่ายกมือไหว้ปูนปั้นไปทำไม

    ที่โรงเรียนมัธยมฯ ที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ ด้านหน้าโรงเรียนตรงทางเข้ามีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ครูให้พวกเรายกมือไหว้พระพุทธรูปก่อนเดินเข้าโรงเรียนทุกครั้ง ข้าพเจ้าเอง ยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้ ด้วยถูกครูบังคับ ได้แต่นึกปลอบใจตนเองว่า เอาเถอะ..คิดเสียว่าเป็นจารีตประเพณี ทำตามชาวบ้านเขาไป จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นแกะดำ

    จนเมื่อจบมหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือธรรมะ จึงค่อยซึมซับในรสพระธรรมมากขึ้น และเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นวิเศษสุดจริงๆ

    ตอนนี้ข้าพเจ้ายกมือไหว้พระพุทธรูปอย่างเต็มใจ ด้วยความรำลึกถึงพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพียรสอนชาวโลก

    อ้าว…ไปๆ มาๆ วกเข้าเรื่องศาสนาได้อย่างไรกันเนี่ย เดี๋ยวท่านได้แซวว่าข้าพเจ้านุ่งขาวห่มขาวจิ้มแป้นพิมพ์อีก

    ว่าแต่ท่านเถิด เมื่อวานไปทำอะไรมาถึงได้หมดเรี่ยวหมดแรงเช่นนั้น อย่าบอกนะว่าลุ้นเกาะขอบจอ…

    ยุบ ไม่ยุบ ยุบ ไม่ยุบ ยุบ ไม่ยุบ ยุบ! แฮ่

    ข้าพเจ้าเองก็ไม่เป็นทำอะไร นอนเฝ้าหน้าจอจนถึงเที่ยงคืน ได้ฟังคำวินิจฉัยแล้ว ก็อดเป็นห่วงบ้านเมืองไม่ได้ เกรงจะเกิดเหตุการณ์บานปลายในภายหลัง

    ใครจะเชื่อว่าคนๆ เดียวทำบ้านเมืองปั่นป่วนได้ถึงขนาดนี้

    วันนี้วันดีอย่าคุยเรื่องการเมืองให้หดหู่เลยนะท่าน

    รักษาสุขภาพด้วย
    ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

  13. พระจันทร์สีส้มสวัสดิ์ขอรับท่านย่าที่เคารพ

    พระจันทร์ทุกหลังวันวิสาขะฯ จะดวงโตสวยงามราวอิ่มอกอิ่มใจหลังทำบุญใหญ่
    วันนี้พออาทิตย์ลับฟ้า พระจันทร์ท่านก็แย้มหน้าบานแฉ่ง สีส้มอล่างฉ่างอยู่ที่ฟากฟ้าตะวันออก ยิ่งมองยิ่งชวนชม แต่ข้าพเจ้านั่งตาละห้อยอยู่ได้หานานไม่ ด้วยพอฟ้าคล้ำค่ำลงก็ได้เวลาเหล่าสาวกแดร็กคิวล่าออกเพ่นพ่าน ข้าพเจ้าจำรีบคว้าป้านชามุดเข้ามุ้งมานิ่งจิ้มคุยกับท่านนี่ล่ะขะรับ

    เมื่อตอน “นักเขียนฯ” ต้องขออภัยที่ข้าพเจ้าโม้เสียยืดยาว ทำให้ท่านต้องหลังขดหลังแข็งทนละเลียดสายตาผ่านแว่นขยายอันเก๋ไก๋กระชากวัยอยู่เป็นนานกว่าจะปัดกวาดขยะอักษรที่ข้าพเจ้าทำหล่นเรี่ยราดไว้หมดสิ้น

    เผลอไปขะรับ แบบว่ากำลังตื่น! อิ อิ

    ต่อไปจะไม่ประพฤติเช่นนั้นอีกแล้ว ด้วยข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าไม่ควรรบกวนเวลาแลกระดูกสันหลังอันบอบบางของท่านให้ยาวนานจนเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นบาปกรรมตามติดตัวไปยังสัมปรภพ

    วันนี้ได้เห็น “ก้าวฯ” แล้วชื่นชมยินดีนัก!

    ก่อนหน้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้เลยขอรับ ส่วนมากมักจะเป็นอารมณ์หมดเรี่ยวหมดแรงไม่อยากเห็นหน้าจอไปอีกสองสามวัน ด้วยเน็ตของข้าพเจ้าไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงที่จะใช้งาน หรือไม่ก็ด้วยความที่มุมมองถูกกลืนหายไปในความคุ้นเคย

    วันนี้ข้าพเจ้าเห็นด้วยมุมที่แตกต่างออกไป !
    เห็นด้วยมุมของคนอ่าน!

    ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาคือ โว้ว! สุดยอด!

    ข้าพเจ้าเคยได้รับแรงสะท้อนอะไรบางอย่างคล้าย ๆ กันนี้จากสหายพี่สองยามท่านพูดถึงก้าวฯ
    แต่ในเวลานั้นข้าพเจ้ากลับหาได้รู้สึกมากไปกว่าภาคภูมิในเหล่าสหายอักษรที่ร่วมแรงร่วมใจสร้างบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาคล้ายเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้เดินทางร่วมกันกอดคอกันร่ำเมรัยอักษรกันอย่างไม่เมาไม่เลิกรา
    ยามนี้เมื่อมองกลับเข้าไปด้วยสายตาของผู้อ่าน

    พวกท่านสุดยอดจริง ๆ ขอรับ !

    ขอบคุณพี่ท่านอานันท์เฮฟวี่เวทหมัดหนักที่ปล่อยแย็บอย่างสม่ำเสมอ พร้อมลีลาฟุตเวิร์คร้ายเหลือรับทาน
    พี่ท่านอานันท์ทุมเทให้ทุกต้นฉบับของพวกเราอย่างเอาจริงเอาจัง
    ข้าพเจ้าจะไม่มีลืมเลือนว่าทุกตัวอักษรของผู้น้อยล้วนเป็นหนี้บุญคุณท่าน

    ขอบคุณท่าน Plin ที่ทุ่มเทนำความแปลกใหม่มาให้ทั้งในเวลานี้แลต่อ ๆ ไป (ข้าพเจ้ายังอยากขอความรู้จากท่าน Plin เรื่อง E-Book แต่ต้องรอไว้จบนิยายที่ค้างคาเสียก่อน)

    ขอบคุณท่านยางฯ สำหรับไอตะระเดียสุดเริดสำหรับทุกปก เห็นปกที่ท่านยางฯ ออกแบบแล้วคิดถึงคำโบราณที่ว่า “กริยาส่อภาษา หน้าปกส่อแววตา” อิอิ

    ขอบคุณทุกอักชระของสหายที่ชงอย่างน่ายกกรอกแห้ง

    ขอบคุณบทสัมภาษณ์ของท่านสารากรที่นำความรู้สึกใหม่ให้ก้าวฯ (รู้สึกได้เลยว่าก้าวฯ กระเถิบใกล้เหล่าหนอนเข้ามาอีกนิด เมื่อก่อนรู้สึกลอย ๆ อย่างไรพิกล วงเล็บซ้อน ข้าพเจ้าอาจเป็นไปเองก็ได้)

    ความรู้สึกยังมีอีกมากมาย แต่ขืนระบายออกมาท่าจะรบกวนเวลาตะบันหมากของท่าน
    ขอเวลาข้าพเจ้าควานหาคำที่พอจะแทนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลสักครู่

    อา….
    ..
    ..
    พวกท่านสุดยอด! สุดยอดจริง ๆ ขอรับ
    ..
    (เอ่อ…คำเดิมเหรอ? ก็คิดคำอื่นไม่ออกนี่นา)

    คารวะ
    ศิษย์หลาน

    ปล. เอ่อ…ลืมไปคนหนึ่งเดี๋ยวจะน้อยใจแย่
    ท่านเลขาหญ่ายงาย…หากไม่มีท่านคอยประสานสรรพกิจ
    ป่านนี้ก้าวฯ คงเมาค้างอยู่ที่ร้านใดร้านหนึ่งเสียเป็นแท้ แฮ่ แฮ่

  14. บ้าจริงท่านย่า!
    ข้าพเจ้าซับมิทเสร็จ
    ยกแก้วชาขึ้นซดซูดดด
    ..
    ..
    ลืมไปว่ามันร้อน
    ลิ้นพองท่านลิ้นพอง!!!~
    ..
    ..

  15. ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหงื่อแตกพลั่กสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    ท่านนี่นับวันจะโม้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เห็นใจคนชราหลังเดี้ยงแถวนี้บ้างเลย
    ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ปิ๊งปั๊งดั๋งดึ๋งเหมือนตอนเปิดเหลาชมจันทร์แล้วนะท่าน
    สังขารมีแต่ทรุดโทรมลงทุกวัน เกรงว่าจะอยู่ส่งเจ้ากระรอกน้อยได้ไม่ตลอดรอดฝั่งถ้ายังทำตัวก๋ากั๋นอยู่เช่นนี้

    ความรู้สึกที่ท่านบอกกล่าวมาเรื่องนิตยสารก้าวรอก้าว เป็นความรู้สึกเดียวกันกับข้าพเจ้าตอนเห็นก้าวรอก้าว ก้าวแรกเจ้าค่ะ เต็มตื้นสุดบรรยาย…

    ก้าวรอก้าวสำเร็จขึ้นมาได้ ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งกองบอกอ คอลัมน์นิสต์ และเด็กโพสท์ อ้อ! ที่ขาดเสียไม่ได้คือคนอ่าน ถ้าทำแล้วไม่มีคนอ่าน ไม่มีเสียงตอบรับ คาดว่าแค่เดินได้ก้าวสองก้าวคงนั่งแหมะอยู่กับพื้นแล้วเจ้าค่ะ

    อย่างไรก็ดีคนที่ควรได้รับเครดิตมากที่สุดคือ ท่านพี่อานันท์ของเรา คนอะไรอึดจริงๆ ถ้าไม่มีพี่อานันท์เสียคน ข้าพเจ้าโบกมือบ๊าย บายไปนานแล้วเจ้าค่ะ (พี่อานันท์เลี้ยงข้าวสักมื้อสิ คนเขาอุตส่าห์ชม)

    สำหรับข้าพเจ้าเองแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถมยังทำตัวโยเย จะขอลาออกสามเวลาหลังอาหาร ไม่ต้องแกล้งชมประชด เอ๊ย! เอาใจหรอกเจ้าค่ะ รู้ตัวดีหรอกน่า

    นึกๆ แล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าเราก้าวกันมาได้สิบสองก้าวแล้ว ข้าพเจ้านึกว่าจะจอดตั้งแต่ก้าวที่ ๔ ที่ ๕ เสียอีกเพราะตอนนั้นคอลัมน์นิสต์ทยอยถอนตัวทีละคนสองคน ทำเอากองบอกอนั่งกุมขมับ

    ตอนนี้ทั้งเนื้อหาและรูปแบบก้าวฯ นับวันยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ …

    คอลัมน์นิสต์ชัดเจนกับแนวทางของตน เขียนได้ดีขึ้น มีข้อผิดพลาดน้อยลง
    ในขณะที่ขั้นตอนสุดท้าย เด็กโพสท์ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ไม่มีขาดตกบกพร่อง งัดทุกกลยุทธมาใช้เพื่อให้ก้าวฯ ออกมาอย่างสมบูรณ์

    เสียอยู่อย่างเดียว ในส่วนเพื่อนร่วมก้าวนี่แหละเจ้าค่ะ เพื่อนหนอนไม่ค่อยส่งงานมาร่วมสักเท่าไหร่ “ก้าวรอก้าว” เลยกลายเป็นแม่สายบัว “รอ” เก้อ รอแล้วรอเล่าอยู่นี่แหละเจ้าค่ะ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์สักที

    พูดเรื่องก้าวฯ พูดไปพูดมาเดี๋ยวกลายเป็นว่าชมกันเอง คนอื่นเขาจะหมั่นไส้เอา
    แต่ข้าพเจ้าก็อดเห็นด้วยกับท่านไม่ได้
    ขออีกสักประโยค

    อา….
    ..
    ..
    พวกท่านสุดยอด! สุดยอดจริง ๆ เจ้าค่ะ

  16. คารวะชาสวัสดิ์ขอรับท่านย่า

    ค่ำลงข้าพเจ้าหมดเรี่ยวหมดแรงสะโหลสะเหลปีนเข้ามาศาลาลมรินท่าน
    มองเห็นเสาศาลาแล้วมันช่างเย้ายวนใจ….
    ..
    ..
    วันนี้ข้าพเจ้าเข้าตลาด
    ว่าจะเอา ‘อุทยานชำระใจ’ ส่งคืนท่าน
    กำลังจะขอซองจากนายปอณออยู่เชียว
    พลิกไปพลิกมา
    เหลียวมองใจตัวเองรึก็ยังเต็มด้วยคลาบไคล
    อย่ากระนั้นเลยขอชำระอีกสักเที่ยวเถอะ

    ข้าพเจ้าจึงได้พกพา ‘อุทยานฯ’ กลับขนำด้วยประการฉะนี้
    จบรอบนี้เมื่อไรแล้วจะส่งคืนนะขะรับ
    ..
    ..
    วันนี้เป็นวันที่ ๘ (แล้วหรือยัง?)
    เวลาล่วงเร็วเสียเหลือเกินท่านย่า
    ข้าพเจ้าทำการไม่ทันเสียจริง ๆ

    เรื่องขีดเขียนที่เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ
    กลับกลายเป็นเรื่องลำบากใจขึ้นมาอย่างไม่น่าจะเป็นไป

    ได้เวลาส่งระเบียงฯอีกแล้ว!
    แต่ค่ำลงใจข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับจะจัดการเจ้ากระรอกน้อยอย่างไร
    จนป่านนี้ข้าพเจ้ายังไม่สามารถสวิชไป-มาได้
    ไม่อาจเขียนโน่นนิดนี่หน่อยย้ายไปย้ายมา
    ติดอยู่กับเรื่องใดก็จะวนเวียนคิดแต่กับเรื่องนั้น
    หากหลุดออกไปแล้วยากจะดึงกลับเข้ามาให้ปะติดปะต่อ
    เจ้ากระรอกน้อยเลยกลายเป็นหนัง ๑๘ ม.ม. ที่ประเดี๋ยวขาดประเดี๋ยวขาด
    ฉาย ๆ หยุด ๆ จนคนดู (อันคือตัวข้าพเจ้าเอง) เริ่มหมดอารมณ์

    ยามนี้คิดว่าจะหักดิบเลิกเขียนทุกอย่างจนกว่าพาเจ้ากระรอกน้อยไปถึงที่หมาย
    (ซึ่งก็เหลืออีกเพียงสองบทเท่านั้น! แต่ข้าพเจ้าลากมาอีก ๘ วันจนได้!)

    แต่แล้วก็มาชน เดทไลน์ก้าวฯ เข้าจนได้!

    เฮ้อ…ขออนุญาตเบี้ยวอีกสักทีได้เปล่า?

    เหลือกระรอกน้อยอีกสองบทข้าพเจ้าจะตะบันให้จบ
    แล้วค่อยเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มจังหวะการเขียนใหม่
    ขอท่านย่าอย่าได้คิดเห็นว่าข้าพเจ้าไม่รู้จักแบ่งแยกอันใดก่อนหลังเลย
    เพราะดูท่าเรื่องฝึกฝนการเขียนนอกจากฝีกภาษาทักษะดำเนินเรื่อง ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของการฝึกจิตเสียอีกหลายส่วน จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถนั่งลงแล้วเขียนได้อย่างใจคิด (ยังไม่รวมที่คิดไม่ออกเพราะเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่มีวันเขียนออกจริงไหมขอรับ) เมื่อนั่งลงแล้วเขียนไม่ออก ได้แต่จ้องมองหน้าจอขาว ๆ จนตาลาย ไม่ได้สักบรรทัด

    ทางออกของข้าพเจ้ายามนี้ มีแต่หาจังหวะเขียนเรื่องอันเป็นเรื่องหลักให้ได้
    การหันไปเขียนอย่างอื่นอาจไม่ใช่ทางออกที่ควร(เฉพาะกับข้าพเจ้า) เมื่อเรื่องหลักไปถึงจุดที่ตั้งใจแล้วจึงพักผ่อนโดยการย้ายมุมคิดไปเรื่องอื่น

    ยังไม่ทราบขอรับท่านย่า

    ก็ได้แต่หาลุ่ทางลองผิดลองถูก
    ฟุตเวิร์คไปเรื่อย ๆ มองหาจังหวะการออกหมัดของตัวเองจนกว่าจะชกได้อย่างเป็นธรรมชาติ (แบบโมฮัมหมัด อาลีไง)

    ขอท่านอย่าได้สงสัยใจว่าข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือหรือจะชกมวยนะขะรับ

    ข้าพเจ้าไม่เอาทั้งสองอย่างนั่นแหละ
    เป็นเกษตรกรน่ะดีแล้ว

    เพียงพยายามมองหาจังหวะชีวิตที่ลงตัว
    จัดการกิจวัตรประจำวันอย่างมีความสุขในทุกกิจกรรม

    แต่พับเผื่อยสิขอรับท่านย่า
    จังหวะการเขียนเนี่ยทำไมจึงหายากหาเย็นเช่นนี้
    ข้าพเจ้าหามาปีครึ่งจะย่างสองปีเข้านี่แล้ว ยังงมโข่งอยู่เลย

    มันยังไงกันอ่ะขะรับ?
    มันยังไง?

    ล่วงเวลามาสิบเจ็ดนาทีแล้ว
    ต้องขออนุญาตนั่งเพ่งหน้าจอล่ะขะรับ

    ดื่มชาขอรับท่านย่า

    คารวะ
    ดิลล์

  17. ยกน้ำชาเจ้าค่ะ

    ยินดีที่ท่านกลับมาเยี่ยม

    ท่านไม่แวะมาหลายวัน ทำเอาศาลาลมรินเงียบกริบ

    ได้ยินข่าวว่าท่านเหนื่อย ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
    ถ้าเหนื่อยนักก็พักก่อนเถิดท่าน
    เขียนไม่ออก อาจเพราะร่างกายเหนื่อยล้า
    เมื่อกายล้า สมองก็มักทำงานได้ไม่เต็มที่

    เรื่องหนังสือ”อุทยานชำระใจ” บอกแล้วไงเจ้าคะว่าไม่ต้องส่งคืนมาทางไปรษณีย์ เดี๋ยวข้าพเจ้าจะไปทวงถึงกระท่อม
    อนุญาตให้อ่านต่ออีกสองอาทิตย์ครึ่งเอ้า! แล้วจะไปเอาคืน

    เรื่องต้นฉบับก้าวฯ ถ้าท่านยังพอเขียนไหว รบกวนเขียนมาหน่อยเถิดท่าน
    ทุกอย่างเมื่อมีครั้งแรก ย่อมมีครั้งสอง..
    มีคนแรก ย่อมมีคนที่สอง..
    ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านเขียนขาดตอนไป เกรงจะติดเป็นนิสัย และพลอยระบาดสู่คอลัมน์นิสต์ท่านอื่น

    ลองดูนะท่าน ส่งมาช้านิดช้าหน่อยก็ได้ไม่เป็นไร แต่ถ้าปั่นต้นฉบับไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามเหตุปัจจัย ได้แค่ไหนก็แค่นั้น

    ข้าพเจ้าเองไม่เคยเขียนเรื่องอะไรยาวๆ คงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับท่านเกี่ยวกับประสบการณ์การเขียนไม่ได้มากนัก สิ่งเดียวที่พอทำได้คงเป็นคนคอยรับฟังและลากถูกันไปตามมีตามเกิด

    ข้าพเจ้าเองตอนนี้กำลังประสบปัญหาเช่นกันเจ้าค่ะ

    การอัพขำขันทุกวัน ทำให้ข้าพเจ้าบังคับตนเองให้หัดแปลหนังสือได้ทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ขำขันในแต่ละตอน แต่ปัญหาคือ แค่ข้าพเจ้าหาขำขันโดยการตะบี้ตะบันอ่านเพื่อเลือกเรื่องที่ถูกใจก็กินเวลาไปพอสมควร กว่าจะนั่งแปล นั่งพิมพ์ นั่งโพสท์ ข้าพเจ้าก็หมดแรงที่จะแปลงานชิ้นอื่นแล้วเจ้าค่ะ

    แถมเมื่อโพสท์งานเสร็จข้าพเจ้าก็อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปเคาะประตูทักทายเพื่อนๆ ตามบล็อก กินเวลาไปอีกมากโข (ใช้ low speed internet คงต้องทำใจกันหน่อย)

    อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์นอกจากขำขันแล้ว งานแปลข้าพเจ้าไม่คืบหน้าเลย
    ข้าพเจ้าต้องหาทางแก้ปัญหานี้ให้ตกเช่นกัน
    วิธีที่คิดไว้คือ โพสท์เสร็จ คงต้องตัดใจงดเยี่ยมเพื่อนๆ ตามบล็อก และอนุญาตตัวเองให้ไปเตร็ดเตร่บ้านเพื่อนฝูงได้อาทิตย์ละครั้ง
    อาจจะดูแล้งน้ำใจไปนิด แต่ถ้าต้องการฝึกฝนอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าคงต้องใช้วิธีนี้

    แต่ก็นั่นแหละเจ้าค่ะ เป้าหมายอาจเป็นสิ่งสำคัญ
    ทว่าความสุขระหว่างการเดินทางและเพื่อนร่วมทางต่างหากที่สำคัญกว่า
    ข้าพเจ้าคงต้องหาจุดสมดุล…
    ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ แก้
    หาจุดที่เส้น “ความสุข” และ “เป้าหมาย” มาบรรจบกัน

    ถ้าท่านงมโข่ง..
    ขอให้รู้ไว้ว่าข้าพเจ้ากำลังงมมหาโข่ง ฮ่า ฮ่า

    คารวะอีกสักจอก
    เอ้า ชน…กริ๊ก

    ท่านย่า

  18. คุยกันก่อนนอน : จังหวะคอหอ

    จังหวะ
    ค่ำคืนสวัสดิ์ขอรับท่านย่า
    วันนี้ปีนขึ้นศาลาลมรินอย่างสบายมือ
    สมองเลยบรรเจิดยิง tr…

  19. ท่านดิน

    หนอยแน่ทำเป็นยิง track หวังหลอกให้ข้าพเจ้าไปหาท่านที่กระท่อมล่ะสิ
    รู้ทันหรอกน่า อิอิ

    ท่านไม่รู้หรอกหรือเวลาท่านมานั่งโม้อะไรยาวๆ สหายท่านอื่นมักหายหน้าหายตาไปเพราะเกรงจะถูกน้ำลายกระเด็นใส่หน้า ข้าพเจ้าเลยตั้งใจแยกศาลาลมรินให้ท่านมานั่งโม้นอนโม้อย่างเป็นสัดส่วนจะได้ไม่ไปรบกวนใครเขา

    เรื่องจังหวะในการเขียน ข้าพเจ้าขอเป็นจังหวะฟ้อนเล็บของทางภาคเหนือแล้วกันเจ้าค่ะ ท่านเคยได้ยินไหม…

    “อืด….ตึ้ง อืด…..ตึ้ง”

    ท่านลองหลับตาแล้วนึกภาพสาวล้านนาเกล้าผมเหน็บดอกไม้ไหว สวมเสื้อแดงนุ่งซิ่นแหล้ ที่ปลายนิ้วมีกรวยกระดาษสีทองต่อเป็นปลายนิ้ว แล้วฟ้อนนวยนาด ด้วยจังหวะเนิบช้า อืด….ตึ้ง อืด…..ตึ้ง

    ข้าพเจ้าขอสเต็บนี้แล้วกันเจ้าค่ะ เพราะข้าพเจ้าโตมาด้วยจังหวะนี้จริงๆ

    เรื่องคอมเม้นท์ข้าพเจ้าคงคิดแบบเดียวกับท่านปรายเจ้าค่ะ
    บางบทความ กว่าคนเขียนจะคิดและเขียนออกมาได้ต้องใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจไม่น้อย
    การเขียนอะไรออกไป แต่ไม่มีเสียงสะท้อนกลับ
    ข้าพเจ้าว่าความเงียบนั้นจะสะท้อนความรู้สึกอ้างว้างเข้าไปในใจผู้เขียนเจ้าค่ะ

    ไม่รู้สินะ ข้าพเจ้าอาจมองในมุมมองของผู้หญิง ซึ่งคิดซับคิดซ้อนและมักคิดถึงจิตใจของผู้อื่นมากกว่าเพศชาย จึงทำให้การมองคอมเม้นท์ของเราแตกต่างกันไป

    ส่วนเว็บของท่าน Fay นั้น ข้าพเจ้าไม่เคยแวะไปเยี่ยมตามที่ท่านคาดเดานั่นแหละเจ้าค่ะ

    ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่าน Fay เอากล่องคอมเม้นท์ออกด้วยเหตุผลกลใด

    การที่ท่านตีความว่าท่าน Fay ทำเว็บด้วยใจรัก โดยถือว่าความสุขอยู่ที่การได้ทำก็อาจจะถูก แต่ข้าพเจ้ากลับมองในแง่มุมอื่นที่อาจเป็นไปได้ เช่น…

    – การไม่มีกล่องคอมเม้นท์หมายถึงการแคร์เสียงผู้อื่นจนไม่สามารถทำใจรับฟังหรือไม่
    – หมายถึงการไม่คิดจะมีปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะเบื่อโลก เบื่อการพูดคุย อยากอยู่คนเดียวในโลกของตนเอง
    – หมายถึงการแล้งน้ำใจกับผู้อ่าน ไม่คิดแม้แต่จะรับฟังและแบ่งปันความรู้สึก คิดแต่จะระบายออกอย่างเดียว โดยไม่สนใจผู้รับ
    – ฯลฯ

    ถ้าท่านยังจำได้ ตอนข้าพเจ้าตัดสินใจปิดเหลาชมจันทร์ ข้าพเจ้าเอากล่องคอมเม้นท์ออก เพื่อจะได้ไม่ต้องแวะเวียนเข้าไปดูว่าสหายจะเขียนทักท้วงอย่างไรบ้าง ไม่มีกล่องคอมเม้นท์ก็ไม่ต้องเปิดเหลาแวะเข้าไปดู เหลาชมจันทร์จึงถูกทิ้งร้างแต่นั้นเป็นต้นมา ครั้งนั้นข้าพเจ้าปิดกล่องคอมเม้นท์เพื่อตัดความหวั่นไหวลึกๆ ในใจเจ้าค่ะ ปิดเสียจะได้ไม่ต้องคอยใส่ใจกังวล

    เมื่อเปิดสวนอักษรได้สักระยะ ตอนแรกข้าพเจ้าจะนำกล่องคอมเม้นท์ออกเช่นกัน เพราะตั้งใจจะอัพขำขันทุกวันโดยลบของเก่าทิ้ง แล้วโพสท์ของใหม่ทับที่เดิม ถ้าลบทิ้งโดยกล่องคอมเม้นท์ที่เพื่อนๆ บรรจงฝากรอยอักษรทิ้งไว้ถูกลบไปด้วย ข้าพเจ้าก็รู้สึกไม่ค่อยดี จึงตัดสินใจโพสท์ต่อไปเรื่อยๆ เป็นขบวนรถไฟ

    แล้วทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ทำเหมือนท่าน ที่เปิดแคร่ไม่ไผ่ให้คนมานั่งล้อมวงคุยกันได้ ไม่ต้องเขียนคอมเมนท์กระจัดกระจาย?

    ข้าพเจ้าลองนึกถึงใจตนเองตอนเข้าไปอ่านบล็อกท่านเจ้าค่ะ ตอนจะเขียนคอมเม้นท์ท่านในเรื่องนั้นๆ หรือในยามอ่านกลอนท่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากเขียนกลอนตอบ กลับไม่มีที่ให้เขียน

    การเข้าไปเขียนรวมกันกับคนอื่นๆ ในเรื่องที่คุยกันสัพเพเหระ
    บั่นทอนอารมณ์ในการเขียนลงจริงๆ เจ้าค่ะ

    นอกจากนี้การปิดกล่องคอมเม้นท์บางครั้งก็ทำให้เสียโอกาสดีๆ ไปในการรับฟังคำติ-ชมซึ่งอาจมีมาได้เป็นบางครั้ง (แม้จะเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง แต่ก็ยังนับว่าดี)

    การได้รับฟังคำติชมจากท่าน และจากสหายท่านอื่น (เช่น จากท่านแสนฯ ที่เคยตั้งคำถามจากขำขันของข้าพเจ้า) ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ข้อบกพร่องและนำมาพัฒนาปรับปรุงงานของตนเอง

    กล่องคอมเม้นท์ของข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นคอมเม้นท์ที่มีสาระอะไรจริงจัง
    แค่คำทักทายทั่วๆ ไปและรอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้การเดินทางบนถนนสายนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก

    ข้าพเจ้าไม่อาจปฎิเสธว่าทุกสิ่งล้วนมีสองด้านเสมอ…
    กล่องคอมเม้นท์แม้จะช่วยให้เกิดกำลังใจ แต่ถ้าแคร์มันมากๆ ก็อาจบั่นทอนกำลังใจได้เช่นกัน

    การให้ความสำคัญกับมันเกินไป อาจทำให้ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง และหากวันใดไม่มีเสียงสะท้อนกลับ อาจทำให้เกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจจะก้าวเดินต่อไป

    คงอยู่ที่ทำอย่างไร จึงจะปรับสมดุลนั้นได้อย่างเหมาะสมและใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างถูกจังหวะ
    นี่เป็นอีกอย่างที่ข้าพเจ้าต้องเรียนรู้…
    ข้าพเจ้าจึงเปิดกล่องคอมเม้นท์ เพื่อฝึกใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับมัน
    แทนที่จะปิดมัน เพื่อหนีความหวั่นไหว…

    คารวะ

    ท่านย่า

    ป.ล. ตอนนี้ยังฝึกไปได้ไม่ถึงไหน ใจจึงหวั่นไหวเป็นที่ซู้ดดดดด

  20. โอ…สุดยอด!
    มิเสียทีที่โยนก้อนหินถามทาง
    มุมมองแตกต่างเช่นนี้ไงที่แลกเปลี่ยนกันแล้วได้เปิดหูเปิดตา

    ท่านย่าสมเป็นท่านย่า!

    คารวะ
    คารวะ

    ข้าพเจ้าจะกลับไปเปิดกล่องคอมเม้นท์ให้หมดเลยพับเผื่อยสิเอ้า!

    สองทุ่มแล้วปั่นกระบี่ฯล่ะ

    หลานดิลล์

    ปล.. ข้าพเจ้าจะมุดหัวเขียนกระบี่ฯสักสองสามวัน
    หากยังไม่จบจะไม่ขอโผล่มาดูเดือนดูตะวัน

    พี่สองก็หายไปธุดงค์
    พี่สามก็ลาไปกักตัวหลอมกระบี่อมฤตาลัย
    น้องสี่(หมีเกี๊ยว)ขอลาท่านย่าบ้างละขะร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ

    เจอกัลล์
    หลานดิลล์(อีกที)

  21. ปั่นเสร็จอย่าลืมโผล่หน้ามาทักทายด้วยนะท่าน

    ข้าพเจ้าขอตัวไปมุดมุ้งเช่นกัน

  22. ร้อน มานั่งรับลม

    เรื่อยเปื่อย

  23. หายร้อนลงบ้างหรือยังเจ้าค่ะ
    นานๆ จะมีคนมาเยี่ยมศาลาลมรินเสียที
    ต้องหาน้ำหาท่ามาเสริฟเสียหน่อย
    ทราบว่าท่านพี่ชอบทานกาแฟ กาแฟสักแก้วแล้วกันเจ้าค่ะ
    (ส่วนแอลกอฮอล์ที่นี่ไม่มีเสริฟ รบกวนไปหาเอาข้างหน้า)

    สมัยก่อนตอนเปิดเหลาชมจันทร์
    มีท่านดินคอยแวะเวียนยกน้ำชามาคารวะไม่ได้ขาด
    จิบชากันไป นั่งเม้าท์กันไปยาวเป็นหน้าๆ
    ปรากฎ… เพื่อนๆ หายหมด ปล่อยเรานั่งเม้าท์กันอยู่สองคน

    เปิดสวนอักษรคราวนี้ข้าพเจ้าเลยเปิดศาลาให้เป็นเรื่องเป็นราว
    ใครอยากเม้าท์ยาวๆ มาเม้าท์กันหน้านี้
    จะได้ไม่ต้องคอยตามไปคุยกันที่คอมเม้นท์ขำขัน

    ดีใจที่พี่อานันท์แวะเข้ามาค่ะ
    แม้จะมาเพียงประโยคสองประโยค แต่ก็ซึ้งใจ
    คิดถึงท่านดินเหมือนกัน หายหน้าไปเลย ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
    ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ช่วยเข้าฝันหน่อยเถิด เจ้าประคู้ณณณณ

  24. ขอบคุณหลายหลายด้วยปลายนิ้ว
    ประจงพลิ้วกราบลงตรงตักย่า
    ทั้งกรุ่นรสกลิ่นกำจายพรายสุรา
    ทั้งอุ่นไอชายคาชาเล่ท์งาม

    ขอบคุณเวลามีมาให้
    ขอบคุณทุกคำถามไถ่ที่ไต่ถาม
    ขอบคุณทุกแววตาเปี่ยมค่าความ
    ผ่านห้วงยามมิตรภาพเอิบอาบใจ (ท่อนนี้จิ๊กพี่ท่านอานันท์ทั้งชุด อิ อิ)

    จึ่งขอขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า
    กราบเบาเบาตรงตักอย่าผลักใส
    หากบุญมีกรรมยังไม่บังใบ
    นะวันหน้าฟ้าใหม่คงได้เจอ(กัลล์)

    ศิษย์หลานดิลล์

    อิ อิ คิดถึงข้าพเจ้าเหยอ???
    ซาแดงว่ามุกโผล่บ่อย ๆ แล้วหายจ้อยเนี่ยได้ผล อิ อิ อิ

    ข้าพเจ้าหายไปตั้งนาน
    มีพี่ท่านอานันท์แวะมาคนเดียว
    ดูท่าศาลาท่านจะร้างเสียล่ะกระมัง

    ว่าจะแวะมาโม้ไร้สาระหยอดน้ำมันหล่อลื่นให้ข้อนิ้วสนิมเขลอะเสียหน่อย
    ไปไม่รอดขะรับ!
    มันไม่ขยับเอาเสียจริง ๆ ข้าพเจ้าเห็นทีจะต้องนั่งทบทวนหาทางทำให้ปลายนิ้วอันมู่ทู่สำรอกอักษร
    ออกมาให้ได้ ตอนนี้นิ้วเจ้ากรรมฝืดเสียยังกะรถแบ็ตฯหมดสตาร์ทไม่ติดต้องออกแรงเข็น (ไอ้เรารึก็ไม่ค่อยจะมีแรง)

    ขอก่ายหน้าผากคิดสักคืน แล้ววันพรุ่งจะกลับมาศาลาใหม่

    เอาไงดี?
    เอาไงดี?

    น้อมคารวะ
    หลานดิลล์

    เอาไงดี?
    ..
    ..
    เอาไงดี?

  25. ท่านย่าฯเจ้าขา
    หายไปไหนล่ะเนี่ย!?

  26. ปั่นงานก้าวฯ อยู่เจ้าค่ะ พรุ่งนี้เกลาอีกทีก็เรียบร้อย
    ว่าแต่ท่านล่ะ ต้นฉบับระเบียงฯ ที่คุยนักคุยหนาว่าจะส่งให้ทีเดียวสองเรื่อง เมื่อไหร่จะส่งมา
    รออยู่ รออยู่

    ถ้ายังเขียนไม่ออกจะนั่งโม้ที่ศาลาลมรินซ้อมมือไปก่อนก็ได้
    แต่วันนี้ข้าพเจ้าขอตัวก่อนล่ะ ไม่ไหวแว้ววววว
    ราตรีสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    ป.ล. อย่าส่งงานช้าล่ะท่าน ชักเสียนิสัยแล้วรู้ตัวไหม

  27. 😦

  28. ได้รับจดหมายแล้วขอรับท่านพี่แต่!!

    “อ่านไม่ออกขอรับ” มันเป็นภาษาต่างดาวไปซะงั้น

    ปรับยังไงก็อ่านไม่ออก (เอาไงดีหว่า) เอ๋หรือพวกท่านพี่ส่งขอมูลผ่านภาษาแบบนี้กัน อ่า…ที่แท้พวกท่านคือมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมาศึกษาพฤติกรรมของชาวโลกนี่เอง เป็นได้ๆ(ชักเลอะเทอะ)

    เดี้ยวน้องสามลองพยายามอ่านต่ออกทีตอนเย็นก็แล้วกันขอรับ แวบไปทำงานก่อน

    คารวะท่านพี่ทุกท่านในศาลาขอรับ

    ด้วยมิตร

    -น้องสาม-

  29. ทอดมันสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิน

    หายเงียบไปแบบนี้ แสดงว่ากำลังใช้นิ้วมู่ทู่จิ้ม “ระเบียงฯ ” ออกมาให้ชื่นชม
    หวังว่านิ้วคงไม่แข็ง ถึงกับกดแป้นไม่ลงนะท่าน
    ห่างหายไปนานคงใช้เวลาสักพัก กว่าปลายนิ้วจะเข้าที่
    แต่โม้เก่งอย่างท่าน จิ้มสักปรื้ดสองปรื้ด แป้นคงลื่นไหลดังเดิม

    วันนี้ข้าพเจ้าแค่เกลางานหน้าเดียว ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง
    สายตาเริ่มฝ้าฟาง เอ็นหลังชักตึง
    เอาไว้วันไหนว่างๆ จะตะบันหมากนั่งคุยเป็นเพื่อนก็แล้วกันนะ
    วันนี้ขอตัวไปนอนอ่านหนังสือก่อนล่ะ

    ///

    น้องสาม

    พี่ส่งเมล์ไปใหม่แล้วนะ หวังว่าไปรษณีย์คงไม่ทำหล่นหายกลางทาง
    พี่ล่ะเบื่อแสนเบื่อเจ้าอีที ชอบมาแปลงสารของพี่อยู่เรื่อย สร้างความเดือดร้อนให้ชาวโลกจริงๆ
    น่าจับคอมาจิ้มน้ำพริกนัก

    รอคำตอบอยู่จ้ะ

  30. ลมโบกสวัสดิ์ขอรับ

    มาแจ้งข่าวครับ จดหมายร้อน และจดหมายย้าฮู
    ถูกลมพายุความกดอากาศต่ำพัดกรรโชกจนระเนระนาด
    หายไปพร้อมกับสายฝนเย็นฉ่ำที่กระหน่ำซัดแบบไม่ลืมหูลืมตา
    อยู่แถวตอนกลางของภาคอีสานแล้วขอรับ

    ทำให้ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมถูกปล่อยเกาะอยู่เดียวดาย
    บนเกาะร้างห่างผู้คน ไม่รู้ว่าเจ้าจดหมายร้อนที่ส่งไปถึง
    คุณหนุงหนิงมันเดินทางไปตลอดลอดฝั่งถึงมือผู้รับหรือไม่
    ตลอดจนข่าวสารที่ส่งมาทางจดหมายร้อนมีมาถึงผมหรือเปล่า

    หนทางสุดท้ายจึงบรรจงเขียนจดหมายขยุกขยุยฉบับนี้ยัดใส่
    ขวดโหลลอยน้ำไปขอความช่วยเหลือ
    อะ ไม่ขนาดนั้น เอาแค่ว่าเพื่อส่งสารว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็พอ

    อัมโปะ

    ปล. เมื่อวานหลงไปเจองานเลี้ยงโดยไม่ตั้งใจ
    แต่หมดแรงก่อนจากภาระกิจขับรถพามารดาเที่ยวสองวันสองคืนเต็ม
    จึงไม่ได้ร่วมสังสรรค์เต็มที่ (ตาปรือมุดหัวไปนอนโดยไม่ได้ร่ำลา)
    เมื่อไหร่จัดอีกอย่าลืมเรียกนะขอรับ

  31. ย่ำแย่สวัสดิ์เจ้าค่ะคุณอัมโปะ

    มิน่า…หายหน้าหายตาไปเสียนาน ตอนแรกข้าพเจ้านึกว่าคุณอัมโปะเงียบไปเพื่อซุ่มเขียนรูปเสียอีก ยังนึกกังวล ใจตุ้มๆ ต่อมๆ เกรงว่าเมล์ฉบับหน้าคุณอัมโปะจะส่งรูปมาทีเดียวสิบรูป ข้าพเจ้าคงเอาเท้าก่ายขมับกลุ้มใจด้วยแต่งกลอนไม่ออก

    ขอบคุณมากเจ้าค่ะที่แจ้งข่าวใส่ขวดลอยน้ำมา สงสัยขวดจะลอยผ่านมาทางคลองสาทร ดำปิ๊ดปี๋เชียว อิอิ

    ตั้งแต่เมล์ฉบับนู้นนนนนที่คุณอัมโปะส่งตัวอย่างรูปมาให้ข้าพเจ้าดูหนึ่งรูป ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ข่าวคราวคุณอัมโปะอีกเลย

    ดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ คิดๆ อยู่เหมือนกันว่าคราวนี้เงียบหายไปนานกว่าปรกติ ว่าจะไปแจ้งความคนหายซะแล้ว

    อินเทอร์เน็ตที่บ้านข้าพเจ้าก็ไม่รู้เป็นไรเหมือนกัน เข้าฮอตเมล์ไม่ได้มาหลายวันแล้ว (รู้สึก server จะมีปัญหาน่ะท่าน ของท่านก็น่าจะอาการเดียวกัน) ต้องไปอาศัยเช็คเมล์ที่ทำงาน ตอนอ่านล่ะพอไหว แต่ตอนต้องเขียนตอบ ชักเกรงใจเพื่อนร่วมงาน อู้งานนานไม่ได้ ระยะนี้คงขาดการติดต่อกับสหายท่านอื่นไปเหมือนกัน

    ถ้าคุณอัมโปะจะติดต่อข้าพเจ้า เขียนข้อความแปะไว้ที่ศาลานี่ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าพเจ้าเข้ามาปัดกวาดทุกวัน (ไม่รู้มีตาแก่โรคจิตที่ไหน ชอบมาฉี่รดเสาศาลา ข้าพเจ้าต้องมาคอยไล่เจ้าค่ะ เกรงจะเป็นที่อุจาดตาของคนเดินผ่านไปผ่านมา)

    ส่วนเรื่องร่ำเมรัยรำลึก เอาไว้คราวหน้าจัดอีก จะบอกล่วงหน้าก็แล้วกันเจ้าค่ะ ถ้ากำลังวังชาฟื้นคืน ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้คงต้องขอพักสักระยะ ยังไม่หายเหนื่อยเลยเจ้าค่ะ คนมันแก่แล้ว ต้องเจียมสังขาร

    ครั้งที่แล้วข้าพเจ้าก็ไม่นึกว่าเพื่อนหนอนจะมากันเยอะขนาดนี้ ตอนแรกก็นึกแค่ว่าคงมีแค่น้องอ้อย ท่านยางฯ กับท่านดิน ดีใจที่ท่านแวะมาดื่มด้วยหนึ่งจอก จะว่าไปมิตรภาพในบ้านหนอนก็ยังจัดอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ไม่มากจนร้อน และไม่น้อยจนเหน็บหนาว

    ว่าแต่จะติดต่อคุณอัมโปะ ต้องเขียนข้อความใส่ขวดหรือพับติดขานกพิราบส่งไปที่ใดเจ้าคะ จดหมายจึงจะถึงมือผู้รับ

    แค่นี้ก่อนนะท่าน ร้อนตับแล่บ ไปเปลื้องผ้า นุ่งกระโจมอกอาบน้ำดีกว่า อุอุ

  32. ฟ้าคะนองฝนสวัสดิ์ขอรับศิษย์ท่านย่าที่เคารพรัก

    กลับมานั่งเช็ดถูคราบไคลน้ำหมากกระชากวิญญาณที่ท่านประพรมให้ศีลให้พรไว้ทั่วศาลาแล้วก็เพลินใจดีนะขอรับ ชวนคิดสะกิดใจให้ได้ทวนทบ เรื่องราวต่าง ๆ ทะยอยผ่านไปกับวันเวลาล่วงเลย

    สหายพี่สองหลังกบดาน ณ ภูมิลำเนาตอบแทนพระคุณครูบาอาจารย์บัดนี้กลับคืนยังประจันตคามประเทศเป็นที่เรียบร้อยพายุดัชนีพิฆาตของท่านตระเวณไปทั่วบ้านสหายเหมือนวันเวลาเดิม ๆ สหายพี่สามยังหายเงียบจมอยู่กับงาน ที่นิ่งสุดก็เห็นจะเป็นพี่ท่านอานันท์ที่พระคุณช่างคงเส้นคงศอก งานการดำเนินไป งานเขียนดำเนินไป อย่างกับไม่มีอะไรสามารถหยุดขบวนโบกี้อักษรของท่านได้ พี่ท่านอานันท์สอนให้ข้าพเจ้ารับรู้ว่าความถี่ไม่อาจเทียบความนิ่ง ไปเรื่อย ๆ ไม่โหม ไม่บุก แต่ไปไม่หยุด สุดท้ายการไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดแรงเหวียงคงที่ นั่นกระมังสามัญวัตรของมืออาชีพ

    อ่านทวนพบคราบไคลอักษรตอนนั้วข้าพเจ้าฝืนผืดลงวันที่ ๖ สิงหาคม ไม่น่าเชื่อว่าล่วงมาครบเดือนแล้วมองย้อนกลับไปคิดไม่ออกเลยท่านย่า ว่าข้าพเจ้าใช้เวลาหนึ่งเดือนผ่านทำอะไรไปบ้าง? เขียนอะไรออกมาบ้าง? ที่พอจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็คือเกลากระบี่ฯ แต่ก็ดูเหมือนเป็นงานจิ๊บจ๊อยเหลือเกิน ไม่น่าจะต้องใช้เวลามากมายปานนั้น แต่ก็ใช้เวลาไปมายมากปานนั้นนั่นแหละขะรับ

    พูดถึงเกลากระบี่แล้วข้าพเจ้าท้อแท้เหลือกำลัง อ่านซ้ำจนเบื่อ ตรงนั้นก็ต้องแก้ตรงนี้ก็ต้องไข ตัวละครเบาโหวงจนอ่อนใจ ดูท่าจะไม่มีวันทำให้เสร็จสมบูรณ์ตามที่ต้องการเสียเป็นแน่ พบหนทางซึ่งเป็นทางออกให้ตัวเองอยู่ทางเดียว ก็คือรอต่อไป รอให้มือนิ่งขึ้นอีกสักหลายหน่อย เพื่อที่ว่าจะได้ควบคุมสัดส่วนต่าง ๆ ของเรื่องได้ดีกว่านี้ หากเป็นสีน้ำเรียกว่าเป็นขั้นยังไม่อยู่มือน่ะขอรับ ยังไม่รู้ธรรมชาติของแต่ละสีว่าสีใดรุก สีใดถอย ละลายเนื้อสีเท่าใดน้ำจึงจะอิ่มพอดีไม่มากจนขลักข้นหรือน้อยจนอ่อนเบา

    ภาษานักเขียนสีน้ำมักเรียกควบคุมสี ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเห็นด้วยเพราะคำควบคุมจะชักนำใจเราให้เสียนิสัย มนุษย์เลยคิดจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างแม้แม่ธรรมชาติ ข้าพเจ้าคล้อยไปทางคำว่า รู้จัก เข้าใจ เสียมากกว่า ทำความรู้จักธรรมชาติของสรรพสิ่งแล้วโอนอ่อนผ่อนไปตามเขา ร่วมผสานธรรมชาติของเขากับทักษะของเราอย่างกลมกลืน

    ข้าพเจ้าคงอยู่ในขั้นตอนที่ต้องทำความรู้จักกับสีต่าง ๆ เหมือนทำความคุ้นเคยกับเหลี่ยมมุมของการเรียงร้อยเรื่องราว การเล่าโดยไม่ต้องบอกแต่จัดเรียงตัวอักษรให้เกิดภาพขึ้นในจิตใจที่ผ่านตา การสอดร้อยเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เป็นรูปร่างไม่ยุ่งเหยิง การค่อย ๆ ส่งคนแปลกหน้าเข้าไปในห้วงสำนึกผู้อ่านโดยกว่าจะรู้ตัวก็คุ้นเคยกับพวกเขาเหล่านั้นราวรู้จักกันมานาน อา…ก้าวรอก้าว (พื้นที่โฆษณา)

    เป็นอันว่ายังอยู่ในช่วงกระเตาะกระแตะ

    ไม่เป็นไร..แต่ละช่วงวัยที่ก้าวเดินก็มีความสุขของช่วงเวลานั้น ๆ
    ยังยิ้มรื่นอยู่เสมอกับดรุณวัยทางภาษาของตัวเอง

    ได้ล้างหูรับทราบโครงการสามเดือนของท่านแล้วข้าพเจ้ายินดีนัก อยากเห็นเหล่าสหายคิดเช่นนี้ทำเช่นนี้(โดยเฉพาะท่านศิษย์เหลนที่เคารพ)
    การเขียนอย่างเอาจริงเอาจังเป็นชิ้นเป็นอันให้ผลมากมาย ระหว่างทางที่ฟันฝ่าอุปสรรคอย่างเอาเป็นเอาตายสุดท้ายได้คืนกลับมาเป็นทักษะที่จะทำให้การฝ่าฟันครั้งต่อ ๆ ไปคล่องไม้คล่องมือขึ้น งานที่ได้มาแม้ยังไม่สมบูรณ์พร้อมก็เพียงรอวันกลับมาแก้ไข

    ได้รับทราบเช่นนี้ข้าพเจ้าคิดถึงช่วงท่านเตรียมตัวสเอบเอ็น
    ความมุ่งมั่นเช่นนั้นคงฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
    ข้าพเจ้ารู้ดี..ไม่ว่าเป้าหมายจะคืออะไรตราบใดที่มีความมุ่งมั่นเช่นนั้น
    เป้าที่มั่นหมายก็เป็นเพียงหลักกิโลฯข้างทาง
    แต่ท่านย่าเอ๋ย…ท่านย่าที่เคารพ…
    ท่านทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงความมุ่งมั่นตอนข้าพเจ้าสอบเอ็น(เช่นกัลล์)
    ..
    ..
    แต่ตอนนั้ลล์…ท่านย่าจ๋า…
    ..
    ..
    ข้าพเจ้าเอ็นไม่ติด!

    คารวะ
    ศิษย์หลานดิลล์

  33. นั่นสิขอรับท่านดิน

    ทำอย่างไรจะรู้สึกถึงสภาวะที่เรียกว่า ‘นิ่ง’ ได้
    ถ้าอยู่ในสภาวะหัวโล่งกลวงโบ๋ละก็ข้าพเจ้าเป็นบ่อย

    ยิ่งได้ของขีดๆเขียนๆมากขึ้นก็ยิ่งรู้ขอรับ รู้ว่าทำไมหนอเรา
    ช่างอ่อนหัด มิได้ถ่อมตนเหมือนที่คุณหนุงหนิงกล่าวชมแต่
    ประการใด แต่รู้สึกอย่างจริงๆจังๆขอรับ

    และยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งเหลือหลายกับความครบเครื่องของ
    ท่านเจ้าสำนักหนอน ความต่อเนื่องของท่านอานันท์
    ความพริ้วไหวของกระบี่ดิน ความมุ่งมั่นของคุณหนุงหนิง

    พวกท่านทำตัวได้เป็นกระจกใสแจ๋วจนข้าพเจ้าแทบไม่
    กล้าส่องกระจก (กลัวเห็นสิวว เหะๆ)

    แวะมาคารวะ

  34. สวัสดีเจ้าค่ะท่านดินและคุณอัมโปะ

    ดีใจที่พวกท่านแวะเวียนมาศาลาลมริน
    ชมนกชมไม้กันไป คุยเรื่องงานเขียนกันไป สุขใจดีไม่หยอก

    อย่าเพิ่งกล่าวชมข้าพเจ้าเรื่องความมุ่งมั่นเลยเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าเขิน
    เอาไว้ครบสามเดือน ถ้าข้าพเจ้าทำสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ค่อยชมกันก็ยังไม่สาย

    จริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าทำผิดขั้นตอนการแปลอยู่มาก
    ข้าพเจ้าควรอ่านเรื่องให้จบก่อน อย่างน้อยสักสองสามรอบ เพื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดและเข้าถึงสำนวนการเขียนของผู้เขียนโดยถ่องแท้ จากนั้นค่อยถ่ายทอดออกมา

    แต่เนื่องจากความใจเร็วด่วนได้ของข้าพเจ้า อ่านไปได้ไม่กี่หน้า ข้าพเจ้าก็หยิบกระดาษปากกาขึ้นมาแปลเลย อ่านไปแปลไปพร้อมๆ กับพวกท่านนี่แหละเจ้าค่ะ

    ถ้าไม่ทำแบบนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะได้เริ่มต้นเมื่อไหร่
    ถือเสียว่าฝึกฝน เริ่มต้นเอาฤกษ์เอาชัยไว้ก่อน แล้วค่อยเกลาอีกที
    ดีไม่ดี ตอนเกลาเสร็จอาจได้เรื่องใหม่ไปเลย ฮ่า ฮ่า

    สำหรับคุณอัมโปะจะไม่ให้ข้าพเจ้าเอ่ยปากชมได้อย่างไร
    คุณอัมโปะมีพัฒนาการในการเขียนดีขึ้นมาก
    นับจากวันแรกที่เขียนอีเมล์คุยกัน คุณอัมโปะเขียนมาฉบับละไม่เกินสองประโยค แถมยังสะกดผิดๆ ถูกๆ (อย่าว่าข้าพเจ้าเผาเพื่อนเลยนะ ฮ่า ฮ่า)

    ฉบับหลังๆ เนื้อความจดหมายเริ่มยาวขึ้นทีละน้อยๆ บางฉบับเขียนมาเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟัง ข้าพเจ้าอ่านเสียเพลิน ยังเคยนึกว่าจะแอบนำไปโพสท์ให้เพื่อนๆ อ่านที่บ้านหนอน

    พอข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวที่คุณอัมโปะเขียน จะไม่ให้ข้าพเจ้าทึ่งได้อย่างไร ข้าพเจ้าละเลียดอ่านทีละตัว นึกอยู่ในใจตลอดว่านี่คุณอัมโปะเขียนหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ ฮ่า ฮ่า

    สำหรับท่านดิน ข้าพเจ้าคร้านจะเอ่ยปากชมแล้ว เขียนคุยกันมาจะเข้าปีที่สอง เรียกว่ามองจอก็รู้ใจ

    ถ้าไม่ได้ท่านช่วยผลัก ช่วยดัน ช่วยลาก ช่วยจูง(ไม้เท้า) ข้าพเจ้าคงหายไปจากถนนสายอักษรนานแล้ว

    จะว่าไปเราต่างเป็นแรงส่ง และกระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน
    เห็นคนหนึ่งเขียน เราก็เกิดแรงใจอยากเขียน

    เดินบนถนนสายอักษรเพียงลำพัง ย่อมว้าเหว่
    และอาจเดินกลับหลังหันได้โดยง่าย
    แต่ถ้ามีเพื่อนร่วมเดินละก็ ถึงไหนถึงกัน พวกท่านว่าไหม?

    ใครขายาว ก้าวเท้ายาว ก็รอๆ กันบ้าง
    “ก้าวรอก้าว”ไง รู้จักหรือเปล่า (พื้นที่โฆษณา)

  35. คุยกันก่อนนอน : กรรมลังใจ

    สืบเนื่องคราบน้ำหมากจาก ศาลาลมริน
    บ๊ะ! เล่นปิดท้ายด้วยการหยอดมุก ร้ายกาจ!ร้ายกาจ!….นั่งเก…

  36. โอ๊ะโอ..สวัสดีค่า น่าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัดค่ะ
    ขอโทษด้วยที่ไม่ได้อยู่ต้อนรับเมื่อตอนพี่ไปเยี่ยมที่บล้อก
    หน้าฝนเป็นหน้าของกิจการครอบครัว หาตังค์อะจ้า

    สำหรับบล็อก
    เป็นการเขียนที่คล้ายการค้นหาคำตอบให้ตัวเองค่ะพี่
    ไม่มีการคาดหวัง ไม่มีสภาวะกดดัน อยากเขียนจึ่งเขียน เป็นความสุขเล็กๆที่สร้างเองค่ะ

    ดีใจมากค่ะที่พี่แวะเยียน

    งานเขียนของน่าค่อยเป็นค่อยไปค่ะ พี่ เป็นการเรียนรู้ชีวิตแบบคู่ขนาน
    ไว้มีงานเด็ดๆ แล้วน้องจะนำไปลงที่บ้านหนอนแน่นอนค่ะ แต่ขึ้นกับสภาวะหลายอย่างอย่างที่พี่หนิงว่านั้นด้วย หากไม่มีเวลาตอบกลับ ก็เกรงใจคนที่อ่านงานของเรานะคะ

    อ้อ! เรื่องเค้กบนท้องฟ้าของพี่ เล้งๆไว้อยู่ค่ะ
    ยังไม่ได้อ่านเลย
    กะว่ารอจบทีเดียวค่ะ น่าเป็นคนไม่ชอบค้างคาน่ะค่ะ เด้วจบ
    แล้วอ่านรวดเดียว เม้นท์ทีเดียวเลยเน้อ

    ขอบคุณพี่หนิงอีกครั้งค่ะ

    แล้วจาแวะมาอีกค่า
    ด้วยภราดรภาพ 😉

  37. หวัดดีจ้ะนีน่า

    ไม่ได้อยู่ต้อนรับก็ไม่เป็นไรจ้ะ
    ข้อความไม่เน่า ไม่เสีย พี่รู้ว่าเดี๋ยวน่าก็ต้องมาอ่าน

    ระยะนี้พี่คงโผล่เข้ามาที่สวนอักษรแบบนินจาเช่นกัน
    เน็ตที่บ้านเข้า WP ไม่ได้อีกแล้ว
    TOT บล็อกเว็บของ WP น่ะจ้ะ
    กำลังคิดหาหนทางอยู่ว่าจะโพสท์เค้กบนท้องฟ้าอย่างไรดี
    เอาไว้พี่แปลจบแล้ว น่าค่อยมาอ่านรวดเดียวจบก็ได้จ้ะ

    ดีใจที่น้องกลับมาเขียนหนังสืออีก
    แล้วจะแวะไปอ่านจ้ะ

  38. คุยกันก่อนนอน : คารวะชา

    พระจันทร์โป้งเหน่งสวัสดิ์ขอรับตะละแม่ท่านย่าที่เคารพ
    เย็นนี้กินข้าวกับแสงอาทิตย์อัสด…

  39. คุยกันก่อนนอน : คารวะชา

    พระจันทร์โป้งเหน่งสวัสดิ์ขอรับตะละแม่ท่านย่าที่เคารพ
    เย็นนี้กินข้าวกับแสงอาทิตย์อัสด…

  40. ไปดูเด็ก ๆ ชิงเปรตกลับมาสลบไสล (ตากแดดมากไปหน่อย)
    สงสัยร่างกายจะเสียน้ำมากน่ะท่านย่า (แสดงว่าสุขภาพยังไม่ฟื้นเป็นปกติ)
    ผ่านตู้แช่มะรอมมะล่อคิดจะเติมน้ำให้ร่างกาย
    เปิดตู้แล้วนะขะรับ

    โชคร้ายข่มใจเสียได้

    เลยได้มานั่งจิบชาย่ำค่ำที่ศาลา
    ไม่งั้นป่านนี้คงนั่งร้อง คาราโอเกะ อิ อิ อิ

    คลานกลับล่ะทั่น
    ตึ๋งหนืด..ตึ๊งหนืด..

  41. คุยกันก่อนนอน : ย้ายขนำ

    ค่ำคืนสวัสดิ์ขอรับตะละแม่ท่านย่าที่เคารพ
    เป็นวันที่สามแล้วที่ข้าพเจ้าหมดเรี่ยวหมดแรง…

  42. คุยกันก่อนนอน :

    (เข้าศาลาไม่ได้ ยิงแทร็คแบ็คเสียเลย)
    น้ำพริกปลาร้าผักบุ้งสดสวัสดิ์ขะรับสหายท่านย่าที่เ…

  43. ท้องว่างสวัสดิ์เจ้าค่ะ

    กลับถึงบ้านยังไม่ทันหาข้าวหาปลาใส่ท้อง อดไม่ได้ต้องจิ้มแป้นคอมฯ เสียก่อน (พรุ่งนี้ปวดท้องอีก ค่อยว่ากัน)

    ยินดีกับหนำใหม่ของท่าน เสียดายไม่ได้ไปร่วมฉลองขึ้นหนำใหม่
    ไปเยี่ยมท่านคราวหน้าสงสัยหนำเก่าคงเหลือแต่ตอ (เอ…หรือว่าปลวกมันกินหมดหว่า)

    ตกลงท่านย้ายไปอยู่หนำไหนเจ้าคะ ช่วยอธิบายคร่าวๆ หน่อยข้าพเจ้าจะได้พอนึกออก อย่าบอกนะว่าจ้างให้ก็ไม่บอก เพราะตั้งใจย้ายกระท่อมหนีข้าพเจ้า ฮ่า ฮ่า

    เรื่องส่งต้นฉบับมาให้อ่าน ข้าพเจ้าเต็มใจช่วยอ่าน ช่วยวิจารณ์ให้เจ้าค่ะ (แต่ถ้าจะให้ดี รบกวนปริ้นท์ส่งมาให้ จะประเสริฐสุดๆ) อย่าได้เกรงอกเกรงใจ

    สำหรับหนังสือของผู้ใหญ่วิบูลย์นั้น ข้าพเจ้าดีใจที่เป็นประโยชน์กับท่าน และดีใจเป็นที่สุดที่ท่านหันมาทำการเกษตรแบบยังชีพ เพราะหากท่านยังดันทุรังทำการเกษตรเพื่อการค้า คงไม่แคล้วต้องติดหล่มอยู่ในวังวนของปัญหาเดิมๆ เพราะถึงแม้ตัวสินค้าจะเปลี่ยนไป แต่ก็ต้องอิงกับกลไกตลาดและวงจรอุบาทว์เช่นเดิม

    หวังว่าไปเยี่ยมท่านคราวหน้า (ถ้ามีโอกาสได้ลงใต้อีก) ข้าพเจ้าจะได้เห็นผลผลิตของท่านออกดอกออกผลสะพรั่งอยู่ในสวนเกษตรแบบผสมผสาน

    อ๊ะอ้า…คราวหน้านอกจากกระถินริมรั้วแล้ว ข้าพเจ้าคงมีมะเขือ ดอกแค ถั่วฝักยาว แตงกวา ฯลฯ ไว้จิ้มน้ำพริกกะปิฝีมือท่าน

    พูดแล้วชักหิว
    ข้าพเจ้าขอตัวไปหาอะไรทานก่อนล่ะ
    ชะแว้บบบบ

  44. ก๊อก!ก๊อก!สวัสดิ์ขอรับท่านย่าที่เคารพ

    มีเรื่องมาชวนคุย
    เรื่องแปลขอรับ

    ข้าพเจ้าอ่าน Dark Tower เล่มสองจบ รู้ว่าเล่มต่อไปเป็นตอนที่ข้าพเจ้าเคยอ่านแล้วเมือหลายร้อยปีก่อน เป็นผลงานของนักแปลคนละท่าน(มันต้องแน่อยู่แล้ว)

    อย่ากระนั้นเลยเพื่อประหยัดคอชอจอ เอาเล่มเก่ามาอ่านดีกว่า

    แต่แล้วไปได้ไม่กี่หน้าต้องยอมวางขอรับ ทั้งที่อ่านเล่มสองจบอารมณ์อยากต่อเป็นกำลัง เหมือนคลานออกจากโรงหนังหลังจบแรมโบ้นั่นแลขะรับ

    ฟังดูท่านอาจบอกว่า “คนแปลคนละคน สำนวนก็ต้องต่างกัน ถึงเนื้อหาจะต่อเนื่องแต่อารมณ์ไม่มีทางต่อเนื่อง”

    เป็นเช่นนั้นขอรับ
    แต่ยังมีที่แย่ไปกว่านั้น!

    เล่มสองเป็นการเปิดตัวละครใหม่ที่จะร่วมเดินทางไปกับพระเอก(ยอดมือปืน) ผู้แปลจึงรู้จักความรู้สึกนึกคิด ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครนั้น ๆ กับพระเอกเป็นอย่างดี การเลือกใช้สรรพนาม ลักษณะประโยค สำเนียง น้ำเสียง กลมกลืนไปกับอารมณ์เรื่องอย่างยอดฝีมือ

    ครั้งหันมาดูเล่มสาม ซึ่งเป็นหนังสือเก่าในเครือท่านสุวิทย์ ขาวปลอด เป็นการแปลแบบโด่เด่ภาคเดียว ไม่มีการปูเนื้อหาก่อนหน้ามาเลย จำได้ตอนนั้นอ่านไปด้วยความมึนงง ผู้แปลเองก็คงไม่ได้อ่านเล่มหนึ่งสองมาก่อน จับผับก็เล่มสามเลย

    เห็นความต่างอย่างระเบิดระเบ้อล่ะทีนี้ขะรับท่านย่า (คิดถึงที่ท่านเคยบอกไว้ว่าต้องอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยแปล ตอนนี้รับรู้แล้วขอรับว่าสำมะคัญจริง ๆ)

    เล่มสองนั้นผู้แปลฝีมือระดับพระกาฬ (ท่านทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าของการรู้ใช้ภาษาเก่าให้ถูกจังหวะ ตรงนี้เป็นทักษะนักแปลโดยเฉพาะเพราะหากแปลตามตัว ก็จะแปลเพียงความหมาย ใช้คำโบราณสำหรับศัพท์ต้นฉบับโบราณ แต่สำนวนโบราณนั้นแปลกันไม่ได้ ต้องมีใช้เอง)

    สิ่งแรกที่มีผลต่ออารมณ์เรื่องมากคือ สรรพนามขอรับ

    เล่มสองท่านใช้สรรพนามครบเครื่อง แก ข้า ฉัน ดิฉัน ชั้น ฯลฯ ว่ากันไปตามจังหวะเนื้อหาแลอารมณ์นั่นเทียว

    แต่เล่มสามซึ่งผู้แปลคงจับงานขึ้นมาแล้วตะลุยแปลโดยหาได้อ่านเล่มสองอันเป็นที่มาของตัวละครนั้น ๆ มาก่อน ท่านใช้สรรพนามแปลตามตัวเอาทื่อ ๆ ผม คุณ ฉัน คุณ

    ท่านย่าลองคิดดู..”แกจะพาเราไปตายใช่มั้ย?”
    หากผู้แปลใช้คำ ‘คุณ’ แทน ‘แก’ อารมณ์เรื่องไปคนละอ่าวกันเชียว..ว่าไหม?

    หากข้าพเจ้าไม่บังเอิญอ่านสองสำนวนในเนื้อหาต่อเนื่องเช่นนี้คงไม่อาจรับรู้ความแตกต่าง และความสำคัญของการใช้สรรพนามขนาดนี้

    ยังไม่รวมเรื่องปลีกย่อย รูปประโยค การแปลคำต่อคำ (Dark Tower เล่มสองเรียก หอคอยทมิฬ เล่มสามเรียก หอคอยมืด แค่แปลคำเดียวกันยังบอกฝีมือเลยขอรับ)

    พบอารมณ์นี้เข้าคิดถึงท่านขึ้นมาในฉับพลันทันใด
    เก็บอารมณ์ค้างเติ่งไว้สองสามวันเหลือบดูหากขืนปล่อยไว้มีหวังขื้นราแน่
    จึงแผลวมาศาลาลมรินนี่แลขะรับ

    ศิษย์หลายตัวดี

  45. สวัสดีเจ้าค่ะท่านดิน

    ขออภัยที่หายศรีษะงามๆ ไปหลายเพลา เน็ตของ ToT มีปัญหาเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าจึงขาดการติดต่อกับโลกออนไลน์ไปสองสามวัน วันนี้ใช้ได้แล้ว อะแฮ่ม!

    ขอบคุณที่ระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟังเจ้าค่ะ เวลาข้าพเจ้าแปลงานจะได้เพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกเท่าตัว

    อย่างที่ข้าพเจ้าเคยเขียนเล่าให้ท่านฟังตั้งแต่ปีมะโว้ (ไม่รู้ท่านจำได้หรือเปล่า)
    แค่ประโยคง่ายๆ ว่า I love you คนแปลต้องนั่งคิดแล้วเจ้าค่ะว่าควรจะใช้สรรพนามอะไรจึงจะเข้ากับเนื้อเรื่อง

    ผมรักคุณ
    ข้ารักเอ็ง
    พี่รักน้อง
    ข้ารักเจ้า
    ฉันรักเธอ
    ฯลฯ

    ถ้าคนแปลถ่ายทอดได้แค่เนื้อหา แต่ไม่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ระดับภาษาให้ใกล้เคียงกับผู้ประพันธ์ได้ ก็ถือว่าแปลไม่ได้เรื่อง
    (แต่ถ้าผู้ประพันธ์เขียนโดยใช้คำง่ายๆ แต่ผู้แปลดันแปลโดยใช้คำเลิศหรูเกินต้นฉบับ ก็ถือว่าแปลไม่ได้เรื่องเช่นกันเจ้าค่ะ)

    เอาล่ะ ขอเปลี่ยนประเด็น

    เมื่อวานเย็นข้าพเจ้าไปงานราหูอมจันทร์มาเจ้าค่ะ (ปีที่แล้วก็ไป แต่คงไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง) เอาไว้มีเวลาจะโพสท์รูปให้ดูที่บ้านหนอนแล้วกันเจ้าค่ะ ในงานมีการประกาศรางวัลเรื่องสั้นกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ มีนักเขียนทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็กมาร่วมเป็นสักขีพยานมากมาย

    นอกจากนี้ยังมีการอ่านบทกวีโดยคุณไพวรินทร์ ขาวงาม คุณกฤช เหลือสมัย แลคุณเสรี ทัศนศิลป์

    ท่านเจ้าสำนักของเราก็ไปร่วมเสวนาด้วยในหัวข้อ “หรือวรรณกรรมไทยไม่สั่นคลอนสังคม?”

    สำหรับรายละเอียดงานข้าพเจ้าไม่ขอเล่าแล้วกัน เพราะเป็นปลาทอง ความจำสั้น ฮ่า ฮ่า ขอตัดไปตอนท้ายเลยแล้วกันเจ้าค่ะ ข้าพเจ้ามีโอกาสได้นั่งคุยกับนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า “ฝุ่นฟ้า ธุลีดิน” จึงรู้สึกว่าโลกมันกล้ม กลม

    พี่คนนี้ชื่อจริงคือ พินิจ นิลรัตน์ ใช้นามปากกาอยู่สามนามปากกา โดยเขียนคอลัมน์ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก และเขียนบทความให้กับนิตยสารสกุลไทยกับขวัญเรือนเป็นครั้งคราวโดยใช้นามปากกาแตกต่างกันไป สำหรับนามปากกา “ฝุ่นฟ้า ธุลีดิน” จะใช้เฉพาะเวลาเขียนบทกวี ลงในมติชนสุดสัปดาห์อยู่หลายครั้ง

    ที่บอกว่าโลกกลม ก็เพราะนักเขียนท่านนี้เป็นชาวระโนดโดยกำเนิดเจ้าค่ะ อยู่บ้านช่อนฉา (คลองแดน) คิดว่าน่าจะเป็นรุ่นน้องท่านที่รามฯ ด้วย

    พอพี่พินิจได้ยินข้าพเจ้าเล่าว่ามีเพื่อนคนหนึ่งใช้นามปากกาว่า”ธุลีดิน” และเป็นคนระโนดเหมือนกัน ถึงกับทำให้พี่พินิจหูผึ่งด้วยความสนใจ ซักข้าพเจ้าใหญ่ว่าท่านชื่อจริงนามสกุลจริงว่าอะไร เผื่อพี่พินิจจะเคยรู้จักกับท่าน

    พี่พินิจเล่าว่าเคยเป็นประธานกลุ่มราม-ระโนดช่วงปี ๒๕๒๙-๒๕๓๐ เจ้าค่ะ
    เค้าสนใจอยากคุยอยากรู้จักกับท่านมากกกกก เพราะเป็นคนระโนดเหมือนกัน ถึงกับให้เบอร์โทรศัพท์ข้าพเจ้าไว้ บอกว่าถ้าสอบถามข้อเท็จจริงจากท่านได้เมื่อไหร่ ให้ข้าพเจ้าโทรบอกเขาด้วย

    เสียดายที่พี่พินิจทำงานอยู่กรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นคาดว่าท่านจะได้เพื่อนคุยถูกคอทีเดียว เพราะพี่พินิจให้เหตุผลในการใช้นามปากกา “ฝุ่นฟ้า ธุลีดิน” เหมือนกับท่านที่ใช้ “ธุลีดิน” ไม่มีผิดเพี้ยน

    โม้มากไม่ได้ชักปวดหลัง แค่นี้ก่อนนะเจ้าคะ ช่วงอาทิตย์ก่อนข้าพเจ้าซ่ามากไปหน่อย คุยกับท่านในสวนฯ ยังไม่พอ ไม่เจียมสังขารเข้าไปทักทายเหล่าสหายที่บ้านหนอนอีก ผลคือหลังเดี้ยงเจ้าค่ะ จนป่านนี้ยังอาการยังไม่ทุเลา

    แล้วคุยกันใหม่เจ้าค่ะ

    ศิษย์ย่า

  46. โอ..โลกช่างกลมดังท่านกล่าว..

    ที่สุดก็เวียนมาพบพาน ท่านอ้ายพุ่มที่เคารพเคยประเคนข้อสงกา ฤาข้าพเจ้าจะแอบปลิวกายปล่อยธุลีกวีไปเป็นฝุ่นฟ้าอยู่ในมติชนสุดฯ ข้าพเจ้าสะดุ้งใจ! ท่านที่เคารพจะประทานเหาน้อยใส่กระหม่อมให้เสียแล้วไหมล่ะ!

    ตอบท่านไปว่า อย่าได้คิดหวังเลยที่จะเห็นธุลีอักษรซอมซ่อโผล่ไปเปิ่นหน้าซุ่มซ่ามอยู่บนหนังสือนิตยสารวางแผง ด้วยเจียมใจเสียแล้วว่าอักษรเหล่านี้เป็นแค่ขี้เล็บพสุธา ไหนเลยหาญกล้ายืนหน้าอวดชาวโลกให้ได้อาย

    โอ..โลกช่างแคบเข้ามาทุกที..

    ท่านพินิจ นิลรัตน์ เรืองนามอุโฆษในทำเนียบนักเขียนแห่งสยามประเทศยุครัตนโกสินทร์ตอนกลางใหม่กลางเก่านี้มานับนาน ข้าพเจ้าทราบแลชื่นชมมาเนิ่นนัก ก็ด้วยความที่คนระโนดร้อยหาเขียนหนังสือไม่เห็นสักคน แม้นับต่อไปถึงหมื่นยังไม่แน่จะปะนามเช่นท่านพินิจสักคน ไม่คาดคิดเลยที่สุดก็มารู้จักท่าน

    โอ..โลกช่างหดเข้าทุกที..

    ขอบคุณที่ท่านยังรักษาไว้ซึ่งกะลาโกโลโกโสครอบศีรษะผู้น้อย

    โอ..โลกช่างตะละปัตรเข้าทุกที..

    ผู้หมายไปร่วมตีเกราะเคาะไม้ราหูอย่างแม่นมั่นนั้นเห็นจะเป็นพี่ท่านอานันท์ แต่แล้วท่านกลับไม่ได้ไปเสียกระนั้น คนไปร่วมกลับเป็นท่านที่หลาน ๆ ไม่เคยระแคะระคาย น่าทึ่ง..น่าทึ่ง..กรุณานำบทสรุปของงานมากระเซ็นน้ำหมากบอกเล่าหลาน ๆ เสียโดยละม่อม

    โอ..โลกช่าง..

    คารวะ

  47. ฝนโปรยปรายสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิน

    เมื่อวานข้าพเจ้ามีโอกาสได้เจอท่านอ้าย ทันทีที่เจอหน้า ข้าพเจ้ายิงคำถามทันที

    “ศิษย์ทวดฝากถามมาว่า วิ่งร้อยเมตรอยู่หรือ?”

    ศิษย์เหลนของท่านงุนงงไปพักใหญ่ ข้าพเจ้าไม่รอช้า โบยด้วยแส้ลงอาคมของท่านเจ้าสำนักทันที

    “ใช้ชีวิตไม่สมดุล สุดโต่งเกินไป”

    โดนหมักฮุกเข้าเต็มๆ ท่านอ้ายถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะตอบเสียงอ่อยว่า

    “ฝากบอกศิษย์ทวดด้วยว่า ผมกำลังคลานอยู่”

    ข้าพเจ้าไม่รอช้า ซ้ำที่ก้านคออีกครั้ง

    “ถึงคลาน มันก็ต้องมีเดินหน้าบ้าง ชั้นว่าเธอนั่งหรือไม่ก็เดินถอยหลังมากกว่ามั้ง”

    ข้าพเจ้าทำตามคำฝากฝังของท่านเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าศิษย์เหลนเป็นอะไรขึ้นมา ข้าพเจ้าขอยกความผิดนั้นให้ท่านแต่เพียงผู้เดียว ฮ่า ฮ่า

    เรื่องงานราหูอมจันทร์ ข้าพเจ้าติดสอยห้อยตามพี่ที่ทำงานไปเจ้าค่ะ รายนั้นเขาเป็นหนอนหนังสือตัวจริง (ส่วนข้าพเจ้ายังแค่ดักแด้) ข้าพเจ้าจึงแอบเกาะหลังไปกับเขาด้วย เอาไว้พรุ่งนี้ถ้าว่างจะลงรูปให้ดูที่บ้านหนอนก็แล้วกันเจ้าค่ะ

    ส่วนเมื่อวานข้าพเจ้าไปงาน “นักเขียน กวี ดนตรี ศิลปะ และห้องสมุด” ที่สวนลุมพินีมา (จึงถือโอกาสนัดเจอศิษย์เหลนกับป้าโคด้วย) ขลุกอยู่ที่นั่นตั้งแต่เที่ยงเจ้าค่ะ

    ได้ดูหนัง In Love and War เป็นเรื่องราวชีวิตรักของ เออรเนสต์ เฮมิงเวย์ ในวัยหนุ่ม จากนั้นดู The old man and the Sea (เฒ่าผจญทะเล) ฉบับแอนิเมชั่น ประทับใจมากเจ้าค่ะ เหมือนดูภาพสีน้ำ สวยจริงๆ

    หลังจากพักดื่มกาแฟคลายง่วง ก็กลับมาฟังการสนทนา “แรงบันดาลใจสร้างสรรค์จาก เพลง หนัง และหนังสือ” โดย เวียง-วชิระ บัวสนธ์ ตามด้วยวรรณกรรมบนแผ่นฟิลม์ Don Quixote (สู่ฝันอันยิ่งใหญ่) สนุกดีเจ้าค่ะ สงสัยต้องหาหนังสือมาอ่าน จะได้รู้ว่าระหว่างอ่านหนังสือกับดูหนัง อันไหนสนุกกว่ากัน

    พอหกโมงเย็นพวกเราย้ายก้นออกไปนั่งฟังลำนำกวีซีไรท์ “ขี่ม้าก้านกล้วยกลับไปเยี่ยมวัยเยาว์” โดย ไพวรินทร์ ขาวงาม และเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ที่ด้านนอกห้องสมุด ปิดท้ายด้วยดนตรีจาก ศุ บุญเลี้ยง และ บรรณ สุวรรณโณชิน เจ้าค่ะ

    เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าจึงใช้ชีวิตด้วยความอิ่มเอม
    เสียดายท่านกับคุณอัมโปะอยู่ไกล ไม่อย่างนั้นจะชวนมาด้วยกัน

    อ้อ..คุณอัมโปะฝากบอกท่านว่า คงหายหน้าหายตาไปสักระยะ ต้องอยู่ดูแลศรีภรรยาที่จะผ่าตัดซีสในช่องท้องช่วงปลายเดือนนี้เจ้าค่ะ

    ราตรีสวัสดิ์

    ศิษย์ย่ามหาประลัย

  48. โห..เล่าให้ฟังก็ดีอยู่หรอก
    แต่คนฟังนั่งปากห้อยน้ำลายยืดนี่สิ เฮ้ออออ
    ..
    ..
    คนชนบทได้อากาศดี แต่อาภัพอรรถรส
    เหล่าท่านทำข้าพเจ้าอยากกลับเข้าเมือง
    ต้องมีสักวัน..ต้องมีสักวัน..(เพลงก็อตจักรพรรณรู้จักเปล่า?)
    ..
    ..
    ฝากบอกป้าโคคิดถึงคักคัก
    ฝากถามพุ่มฮักรีบเก็บตังค์แต่งสาวแม่นบ่?
    ฝากบอกท่านอัม ทำให้เต็มที่เลยท่าน!ทำด้วยหัวใจ!
    ฝากบอกท่านย่ามหาประลัยอยากไปด้วยที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดดด!!!

    กรรณิการ์สวัสดิ์
    ศิษย์หลานตัวดี

  49. FW Mail : ฝากท่านย่า

    ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือปล่าว ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างก็ไม่รู้ด้…


Leave a comment